คำคม

ปัญหามีไว้ให้หาปัญญา อุปสรรคมีไว้ให้ฝึกหาทางออก วันไหนที่มีความสุข วันนั้นอย่าทำความสุขในชีวิตหล่นหาย

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ยางลบ กับการแก้ไข สิ่งผิดพลาด

สมัยเด็กๆ ครูสอนศิลปะท่านหนึ่งสอนฉันเสมอว่าเวลาเราใช้ดินสอวาดภาพ เราห้ามใช้ยางลบ ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจจุดประสงค์ของครูสักท่าไหร่

รู้แต่เพียงว่าเวลาฉันวาดภาพแล้วเส้นมันบิดเบี้ยว ฉันก็อยากจะให้มันตรงสวย แต่ทุกครั้งที่ฉันหยิบยางลบขึ้นมาเพื่อจะลบภาพนั้น ครูของฉันก็จะเตือนถึงกติกานั้นเสมอ สุดท้ายฉันจึงเลือกใช้วิธีต่อเติมภาพๆนั้นไปตามจินตนาการ
เช่นถ้าฉันตั้งใจวาดรูปหน้าคน แต่ฉันอาจเผลอวาดตากลมโตเกินไป ฉันก็จะใช้วิธีเปลี่ยนตากลมๆ นั้นเป็นแว่นตาแทน แม้ตอนนั้นฉันยังไม่เข้าใจว่า ทำไมฉันจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ

และแม้ฉันจะไม่เคยคิดวาดรูป หน้าคนใส่แว่นมาก่อน แต่ฉันก็ได้รูปหน้าคนตามที่ต้องการ แถมยังภูมิใจ ว่าสามารถวาดภาพๆนั้นด้วยความมั่นใจ และไม่ต้องใช้ยางลบลบภาพเลยสักครั้ง

เวลาผ่านไป ฉันโตขึ้น ฉันเรียนรู้ว่า สิ่งที่ครูสอนวันนั้น แท้จริงแล้วมันปลูกฝังนิสัยหนึ่งให้กับฉัน นั่นคือ การเข้าใจธรรมชาติของความผิดพลาด

ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของทุกคน และในชีวิตหนึ่งก็มีหลายครั้งที่ฉันได้พบมันโดยไม่ตั่งใจ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันยอมรับความผิดพลาดเหล่านั้น และรวบรวมสติเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ ก็คือ

การที่ฉันเข้าใจว่า ธรรมชาติของความผิดพลาด คือ การที่มันเกิดขึ้นแล้ว จะคงอยู่ถาวร ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ ลบความผิดพลาด แต่ฉันจำเป็นต้องใช้สมองต่อเติมแก้ไขภาพวาดของฉันให้สมบูรณ์ด้วยตัวเอง
ดังนั้นถ้าความผิดพลาดมันเกิดขึ้นกับเราแล้ว การที่เราจะมานั่งร้องห่มร้องไห้ อ้อนวอนขอแหกกฎเพื่อใช้ยางลบกลับไปแก้ไขมันนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้

สิ่งเดียวที่จะทำได้ ก็คือ รู้จักพลิกแพลงแก้ไขสิ่งเหล่านั้นด้วยสติ และวาดภาพของตัวเองต่อไปด้วยความระแวดระวังมากยิ่งขึ้น ทุกคนมีดินสอหนึ่งแท่งเพื่อที่จะวาดภาพชีวิตของเราให้สวยงาม แต่เราไม่มียางลบสักก้อนที่จะเอาไปลบสิ่งที่เราทำผิดพลาดมาแล้วได้

ดังนั้นเราต้องตั้งใจ และมีสติทุกครั้งที่ลากเส้น ถึงแม้นภาพที่เราวาดออกมาจะไม่เหมือนกับภาพที่เราฝันไว้สักเท่าไหร่ แต่มันก็ออกมาจากมือของเรา เราควรจะภูมิใจกับมันได้เสมอ ไม่ต้องกลัวหรอก แม้จะรู้ดีว่าสักวันหนึ่งเราอาจลากเส้นบิดเบี้ยวไปบ้าง

เพราะถึงอย่างไร ฉันยังเชื่อว่า
ถ้าสมองและหัวใจของเราทำงานอย่างเต็มที่ ภาพชีวิตเราก็งดงามได้โดยไม่ต้องใช้ยางลบ
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ของขวัญ ที่ทุกคนอยากได้

ของขวัญ
  • ของขวัญจาก "การฟัง" จงตั้งใจฟังผู้อื่นให้มาก อย่าขัดจังหวะการพูด หรือขัดคอคนอื่น พูดให้น้อย ฟังให้มาก

  • ของขวัญจาก "ภาษากาย " อย่าอายที่จะแสดงความรักแก่ครอบครัว หรือเพื่อนของคุณ การแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ ที่บอกให้พวกเขารู้ถึงความสนิทสนมที่คุณมีให้ จับมือ โอบไหล่ สวมกอด หอมแก้ม ฯลฯ

  • ของขวัญจาก "ความเบิกบาน" แบ่งปันเสียงหัวเราะ และความสนุกสนานให้คนรอบข้าง มีเรื่องสนุก อย่าแอบหัวเราะคนเดียว

  • ของขวัญจาก "การเขียน" กระดาษโน้ตที่เขียนด้วยลายมือของคุณเอง เช่น ฉันรักคุณจังเลย ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ จะสร้างความรู้สึกดีๆ ให้กับคนอ่านได้ไม่น้อย

  • ของขวัญจาก "คำชม" ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ไม่ว่าใครก็อยากจะได้รับคำชม เช่น ผมทรงนี้ดูดีจัง กับข้าวอร่อยมากเลยนะ

  • ของขวัญจาก "ความมีน้ำใจ" ความจริงพวกเราทุกคนล้วนมีน้ำใจ สภาพสังคมที่ต้องแก่งแย่งแข่งขันอยู่ตลอด ทำให้น้ำใจของหลายคนเกิดอาการหลับใน การแบ่งปันให้กัน จะทำให้โลกเราน่าอยู่ขึ้น

  • ของขวัญจาก "เวลาส่วนตัว" บางเวลาคนเราก็อาจอยากอยู่เงียบๆ ตามลำพัง อย่าลืมเคารพสิทธิผู้อื่นด้วย ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว เมื่อเขาต้องการ

  • ของขวัญจากการ "ให้กำลังใจ" คนเรายามที่จิตใจท้อแท้ ก็เหมือนรถน้ำมันหมด ช่วยเติมกำลังใจให้คนอื่นทุกครั้งที่มีโอกาส ใจเย็นๆ นะ เดี๋ยวก็มีทางแก้ ยากกว่านี้ เธอยังทำได้เลย สักวันรถคุณเองก็อาจจะขาดน้ำมันเหมือนกันก็ได้

  • ของขวัญจาก "มธุรสวาจา" คำพูดดีๆ ทำให้เกิดความประทับใจต่อกันได้ดี อย่าลืมคำพื้นฐานอย่าง ขอบคุณ ขอโทษ คุณอยากฟังคำพูดดีๆ คนอื่นเขาก็เหมือนกัน

อำนาจ วาสนา บารมี


ทั้ง 3 อย่างนี้ คุณอยากได้อย่างไหนมากที่สุด อำนาจ วาสนา บารมี
...คิดให้ก่อนตอบก็ได้...คนส่วนใหญ่มักโลภมากอยากได้ทั้ง 3 อย่าง ซึ่งเป็นไปได้ยาก แต่ก็ไม่ผิดกติกา

1. อำนาจ เป็นความสามารถที่จะควบคุมคนอื่นให้ปฏิบัติตามได้ โดยการสั่งการหรือบัญชาแล้วมีคนยอมทำตาม แม้จะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ผลของการมีอำนาจมีได้ทั้งทางดีและทางไม่ดีคนส่วนใหญ่ชอบอำนาจ เพราะมองเห็นผลลัพธ์ได้ง่าย และรู้สึกว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าคนอื่น

อำนาจมักจะพบได้ในอาชีพที่มักเอื้อให้มีอำนาจได้ง่าย เช่น ข้าราชการ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ และอำนาจที่พบได้เด่นชัดมากๆ มาจากนักการเมืองที่มีตำแหน่งสูงๆ

อำนาจมักจะเกี่ยวพันกับปืนหรือความตาย คนจะมีอำนาจได้มาก ถ้าสั่งเป็นสั่งตายได้ ข้าราชการตำแหน่งสูงที่มีโอกาสถือปืนหรือใช้ปืนได้ หรือมีสิทธิสั่งคนที่ถือปืนให้ใช้ปืนได้ จึงมีอำนาจมาก รวมทั้งโจร ก็มีอำนาจด้วย เรียกอำนาจเถื่อน

คนที่มีอำนาจแล้วมักจะหลงตัวเองสูง หยิ่ง ยะโส โอหัง ไม่เกรงกลัวใคร เพราะสั่งได้ บัญชาได้...มีคนพร้อมจะรับบัญชา คนอื่นๆ ก็อยากวิ่งเข้าหาพร้อมเครื่องสังเวย เพื่อร่วมรับหรือร่วมใช้อิทธิพลจากอำนาจนั้น ทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย
ว่าคนที่ใช้อำนาจมากๆ และบ่อยๆ นั้น มักไม่ค่อยถูกกฎหมายหรือถูกต้องนักหรอก แต่จะถูกใจตัวเองมากกว่า

คนมีอำนาจมักจะบันดาลเงินทอง ตำแหน่ง ยศ ได้ง่าย ตอนมีชีวิตอยู่จะมีผู้คนเข้ามายกยอปอปั้นมาก อยากรับใช้ เพราะหวังจะได้ประโยชน์จากอำนาจ แต่เวลาตาย หลายรายตายไม่ดี เช่น ถูกฆ่า หรือตายไปแล้วก็มีคนแช่งด่า หรือคนไม่อยากพูดถึง หายเงียบไปเลยก็มาก ครอบครัวของคนมีอำนาจและใช้อำนาจมาก ก็มักไม่ค่อยปกติสุขนักหรอก
...อำนาจเป็นเรื่องของ "การรับ"...

ใครสามารถทำให้ตัวเอง "รับ" ได้มากเท่าไหร่ ก็เท่ากับมีอำนาจมากเท่านั้น เขาจึงสร้าง ความได้เปรียบให้กับตัวเองทุกวิถีทาง แม้จะผิดกฎหมายก็จะทำเพราะชินต่อแนวคิดอย่างนั้นแล้ว

2. บารมี เป็นผลจากการทำความดี ทำให้มีคนรัก
ความดีที่เห็นง่ายๆ ก็คือ การช่วยผู้คนและสังคมทุกรูปแบบ เป็นพฤติกรรมของ "การให้" ยิ่งช่วยมาก ให้มาก คนก็รักมาก ศรัทธา ชื่นชม นิยมมาก

...บารมีเป็นเรื่องของความสามารถใน "การให้" ใครให้ได้มาก ก็มีบารมีมาก... และถ้าเป็นการให้อย่างมีเมตตาและบริสุทธิ์ใจ จะยิ่งได้บารมีมาก

คนที่มีบารมีนั้นจะไม่โด่งดังเท่าอำนาจหรอก คนไม่เกรงกลัวเหมือนคนมีอำนาจ แต่จะเกรงใจ คนอยากอยู่ใกล้เพราะอบอุ่นใจ ไม่ร้อนรนแย่งชิงผลประโยชน์เหมือนตอนอยู่ใกล้คนมีอำนาจ
3.วาสนา เป็นผลจากการสร้างบารมีมาก ๆ
ซึ่งเป็นไปตามความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม เมื่อทำความดีมากๆ ก็จะได้รับผลของการทำความดีเหล่านี้ เรียกว่า วาสนา ทำให้มีความสุข ความเจริญในชีวิต ได้รับเกียรติจากคนดี ได้รับยศจากคนดี แม้เกียรติและยศนั้นจะไม่มากหรือโด่งดังเหมือนคนมีอำนาจได้รับ แต่คุณภาพจะแตกต่างกัน เพราะได้จากคนที่เต็มใจให้เพราะความดี ไม่ใช่ต้องให้เพราะเกรงอำนาจ

...แต่ที่แน่ๆ ก็คือ คนมีวาสนาจะได้รับมิตรภาพที่ดีๆ จากคนดีๆ มากมาย...คนมีอำนาจนั้นส่วนมากจะได้มิตรภาพจอมปลอม จากคนไม่ค่อยดีเสียส่วนใหญ่ พวกมีอำนาจสูงและใช้อำนาจมากๆ นั้น มักตายไม่ค่อยดี หรือตายแล้วคนก็ไม่อยากพูดถึงในทางที่ดีนัก เพราะเป็นพวกที่ชินต่อการ "รับ" ทุกรูปแบบ

แต่พวกที่มีวาสนาและสร้างบารมี เวลาตายไปแล้วคนจะนึกถึง อบอุ่นใจทุกครั้งที่นึกถึง มีคนพูดถึงในแง่ดีตลอดไป เพราะเป็นพวกที่ "ให้" ได้มากกว่าคนทั่วไป

การสะสมบารมีในช่วงมีชีวิตอยู่ นอกจากจะทำให้มีความสุขแล้ว ยังได้มิตร และได้พลังชีวิตที่ดี ๆ ตลอดไป อนาคตจะเป็นคนมีวาสนาดี


ขอบคุณที่มา  ::  จากคอลัมน์ "Inside ชีวิต" หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายสัปดาห์
ผู้เขียน - ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ
ขอบคุณที่มา  ::  deltadrive.exteen.com

ความสุข คืออะไร

ดอกไม้
ความสุข คือ ความสบาย หรือความสำราญ แยกออกได้เป็นสองฝ่าย คือ ความสุขทางกาย กับความสุขทางใจ

ความสุขทางกาย ได้แก่ ความสุขที่สัมผัสได้จากประสาททั้ง 5 คือ รูป เสียง กลิ่น รส และผิวหนัง เรียกว่า “กามคุณ 5” จัดว่าเป็นฝ่ายรูป หรือความสุขที่เกิดจากเนื้อหนังมังสา อันเป็นสิ่งสกปรก

ความสุขทางใจ ได้แก่ ความสุขที่สัมผัสได้ทางจิตคือ ความสบายใจ ความสุขใจ ความอิ่มใจ ความพอใจ อันเกิดจากจิตใจที่สงบและเย็น จัดว่าเป็นฝ่ายนาม อันเป็นความสุขที่สะอาด

ความสุขทั้งกายและใจ ย่อมมีส่วนสัมพันธ์กันไม่อาจจะแยกให้ขาดจากกันได้ เพราะต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน จะขาดเสียอย่างใดอย่างหนึ่งหาได้ไม่

การปฏิบัติให้เกิด “ความพอดี” ไม่มากและไม่น้อยเกินไปไม่ว่าในส่วนกายหรือใจก็ตาม ก็ย่อมจะเกิดความสุขโดยปราศจากความทุกข์ ที่แอบแฝงตามมา

ในความสุขทั้งสองฝ่ายนี้ ความสุขทางใจ นับว่าเป็น “ยอดแห่งความสุข” ทั้งหมด ถ้าเรากระทำสิ่งใดแล้วจิตใจไม่มีความสุขแม้ว่าเราจะมีวัตถุมากมายครบถ้วนคอยอำนวยความสุขทุกรูปแบบก็หาได้ให้เกิดความสุขที่สมบูรณ์หรือแท้จริงไม่

แต่ในทางตรงกันข้าม แม้ว่าทางร่างกายจะขาดแคลนวัตถุที่จะอำนวยความสุข เเต่ถ้าจิตใจมันมีปิติหล่อเลี้ยง มีความพอใจมีความสงบใจ คนก็ย่อมจะประสบความสุขได้

ในการมีเครื่องอำนวยความสุขมากเสียอีก กลับจะเป็นมารหรืออุปสรรค คอยขัดขวางหรือบั่นทอน ไม่ให้ผู้นั้นได้พบกับความสุขที่แท้จริงเสียด้วยซ้ำไป

ในคำสอนของพระพุทธองค์ ที่ทรงพร่ำสอน ทรงย้ำให้พระมีชีวตอยู่อย่าง “สันโดษ” และ “มักน้อย” ให้มีอาหารหรือปัจจัย 4หล่อเลี้ยงชีวิต เหมือนน้ำมันหยอดเพลาเกวียนเท่านั้น
จากพุทธปฏิปทานี้ชาวบ้านผู้ครองเรือน ก็สามารถประยุกต์เอามาใช้ ให้เกิดประโยชน์ได้ นั่นคือ อย่าให้ตึงจนถึงเดือดร้อน และอย่าให้หย่อนจนตัวเป็นขน.....

หลัก “มัซฌิมาปฏิปทา” คือ ทางสายกลาง ไม่ตึงไม่หย่อนจืงเป็นแนวทางที่ควรนำมาดำเนินชีวิต เพื่อให้เกิดความสุขในชีวิตประจำวันได้อย่างดีเยี่ยม ถ้าใช้เป็นและใช้ให้ถูกต้องกับกาละเทศะ บุคคลและอัตภาพของตน

รวมความว่า ความสุขก็คือความสบายกาย และสบายใจในสองอย่างนี้ ความสุขใจ นับว่าเป็นยอดแห่งความสุขในโลก และทุกคนก็สามารถที่จะบรรลุความสุขได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้

ขอบคุณข้อมูลจาก
พลังจิต

แง่คิดดีๆ….กะปิในใจ

จะให้อะไรแก่ลิงก็ให้เถิด ขออย่างเดียวอย่าให้กะปิก็แล้วกัน
ลิงนั้นเกลียดกะปิยิ่งนัก ถ้ากะปิติดมือมันเมื่อไหร่

เป็นได้เรื่องเมื่อนั้น โลกจะแตก แผ่นดินจะไหวมันไม่สนใจแล้ว
เรื่องจริงของ พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ
สนใจอย่างเดียวว่าจะทำอย่างไรกลิ่นกะปิจะหลุดไปจากมือ
มันจะเอามือถู ๆ แล้วก็ดมดูว่ากลิ่นยังติดมืออยู่หรือไม่
ถ้ายังติดอยู่ มันจะถู ๆ ๆ อีก และถูแรงขึ้น ๆ จนเนื้อถลอก
ถ้าดมมือแล้วยังไม่พอใจ ก็ถูต่อไปแม้เลือดไหลซิบ ๆ
ก็ยังไม่หยุดจนกว่ากลิ่นกะปิจะหายไป
กว่าลิงจะเลิกถูและเลิกดม มือก็แดงไปด้วยเลือดแล้ว
มันไม่เฉลียวใจเลยว่า แท้ที่จริงสิ่งที่ทำร้ายมันไม่ใช่กะปิ
หากได้แก่การกระทำของมันเอง กะปิทำความรำคาญแก่มันก็จริง
แต่ที่มันเลือดตกยางออกก็เพราะทำร้ายตัวเอง
แล้วอะไรที่ทำให้มันรุนแรงกับตัวเองอย่างนั้น กะปิหรือ?
ไม่ใช่หรอก ความเกลียดกะปิอย่างเข้ากระดูกดำต่างหาก
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ สำหรับลิงแล้ว สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่กะปิ
แต่ได้แก่ความเกลียดกะปิต่างหาก จะว่าไป ปัญหาของเจ้าจ๋อนั้น
ก็เป็นปัญหาของคนเราเหมือนกัน สิ่งที่เราโกรธหรือเกลียดนั้น
ไม่ร้ายเท่ากับความโกรธเกลียดที่ฝังแน่นในใจเรา ถึงเขาจะดูถูกเรา กลั่นแกล้งเรา
แต่การหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่กับคนคนนั้น และการกระทำของ เขาวันแล้ววันเล่าต่างหาก
ที่มีสิทธิ์ทำให้เราเป็นโรคหัวใจ หรือเส้นโลหิตในสมองแตกได้………………
ในทำนองเดียวกัน ความตายก็น่ากลัวน้อยกว่าความกลัวตาย
คนเป็นอันมากทุกข์เพราะความกลัวตาย ยิ่งกว่าเพราะความตายจริง ๆ เสียอีก
ทันทีที่ความกลัวตายจางคลายไปความตายกลับจะเป็นมิตรที่นำความสงบและปัญญามาสู่จิตใจ………………
เราทุกข์เพราะความกลัวและเรากลัวทุกครั้งที่คิดถึงพวกนั้นพูดง่าย ๆ ก็คือ
จริง ๆ แล้วเรากลัวความคิดของเราเองต่างหากเราทุกข์เพราะสิ่งที่อยู่ในใจเรายิ่งกว่าอะไรอื่น
จะเรียกว่าทุกข์เพราะตัวเราเองก็ได้ สิ่งอื่น คนอื่นเป็นเพียงองค์ประกอบเท่านั้น เพราะฉะนั้น เวลาเดือดเนื้อร้อนใจอย่าไปโทษหรือเล่นงานคนอื่นจนลืมจัดการกับใจของตนเอง