คำคม

ปัญหามีไว้ให้หาปัญญา อุปสรรคมีไว้ให้ฝึกหาทางออก วันไหนที่มีความสุข วันนั้นอย่าทำความสุขในชีวิตหล่นหาย

วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555

คติสอนใจ - น้ำเต็มเเก้ว!!! เว้นว่าง...เพื่อเติมเต็ม!!!

ตั้งแต่เกิดมา แก้วน้ำได้ออกเดินทางไปเรื่อยๆ
ระหว่างทางก็มีคนคอยเติมน้ำให้อยู่เสมอ
จนวันหนึ่ง….น้ำจึงเต็มแก้วน้ำ
...
วันเวลาผันผ่าน แก้วน้ำได้ไปยังสถานที่ต่างๆ
พบสิ่งที่น่าสนใจมากมาย หลากหลาย
แก้วน้ำบางใบ เลือกจะเดินทางต่อไป
โดยปล่อยให้น้ำเต็มแก้วอยู่อย่างนั้น
เพราะคิดว่าการแวะถ่ายเทและเติมน้ำใหม่นั้น
เป็นการเสียเวลาและไร้ประโยชน์
...
แต่แก้วน้ำของเราใบนี้ เลือกที่จะแบ่งปันน้ำให้ผู้อื่น
เขาแบ่งน้ำให้ต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาอยู่ข้างทาง
และแบ่งให้กระต่ายน้อยที่หิวกระหาย
ดีกว่าการปล่อยน้ำให้ระเหยไปอย่างไร้ค่า
...
แก้วน้ำเดินทางเพื่อค้นหาและรับน้ำใหม่เสมอ
น้ำที่ได้รับนั้น บางครั้งเป็นน้ำค้างบริสุทธิ์จากยอดหญ้า
บางคราวก็เป็นน้ำฝนจากฟากฟ้า
บางครั้งเป็นน้ำขุ่นที่มีตะกอน
แก้วน้ำก็ต้องรับโดยผ่านการกลั่นกรองเสียก่อน
บางครั้งเป็นน้ำเน่าเสีย แก้วน้ำก็รู้จักที่จะปฏิเสธ
บางครั้งมีผู้รินน้ำให้ บางครั้งต้องตักเอาเองจากแม่น้ำ
บางครั้งก็ต้องรับน้ำจากต้นไม้อีกทอดหนึ่ง
...
แม้การถ่ายเทและรับน้ำใหม่อยู่เรื่อยๆนั้น
จะทำให้เหนื่อยอยู่บ้าง แต่แก้วน้ำ ก็รู้ดีว่า
เส้นทางของเขานั้น ยังอีกยาวไกล
ต้องพบแหล่งน้ำอีกหลากหลาย เจอสิ่งต่างๆอีกมากมาย
แม้ในชีวิตหนึ่ง แก้วน้ำยังมีหลายสิ่งที่ต้องทำ
แต่สิ่งที่เขาจะไม่หยุดทำเลย ก็คือ
การทำตัวเป็นแก้วน้ำ ที่พร้อมจะรองรับน้ำอยู่เสมอ
เพื่อให้การเดินทางครั้งนี้มีคุณค่า
รู้จักหารู้จักรับ….และ เว้นที่ว่าง เพื่อเติมเต็ม
……
เรื่องน้ำเต็มแก้ว น้ำครึ่งแก้ว หรือ น้ำไม่เต็มแก้วนั้น
เราคงได้รู้ ได้เห็น และได้อ่าน กันมาบ้างแล้ว
หลายคน เปรียบเสมือนน้ำที่เต็มจนล้นแก้ว
ไม่พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ยึดติดกับสิ่งเดิม
ยึดมั่นถือมั่น จนบางครั้ง ทำให้เป็นคนเห็นแก่ตัว
ไม่ก้าวหน้า หรือ เจริญเติบโตในหน้าที่การงาน
แต่อีกมากมายหลายคน แม้น้ำจะเต็มแก้วแล้ว
เขาก็จะถ่ายน้ำออก ด้วยการแบ่งปันให้ผู้อื่น
และเติมน้ำใหม่ ด้วยการเรียนรู้จากผู้อื่น เช่นกัน
คนเราไม่มีใครดีพร้อม เก่งหรือดีไปเสียทุกด้าน
ด้านไหนที่เราเก่ง หรือ เราทำได้ดี
ก็ควรต้องแนะนำหรือแบ่งปันความรู้ให้ผู้อื่น
ส่วนด้านใดที่เรายังไม่เก่ง หรือ ยังทำไม่ได้ดี
ก็ต้องหมั่นศึกษาเรียนรู้จากผู้อื่นเพื่อพัฒนาตนเอง
รู้จักให้รู้จักรับรู้จักแบ่งปัน
เพียงเท่านี้ สังคมของเรา ก็จะเต็มไปด้วย
แก้วน้ำที่มีคุณภาพคับแก้วแล้ว
ขอบคุณบทความ:http://www.oknation.net/blog/kritwat/2012/05/21/entry-1

"ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน"

เป็นหนังสือที่อยากแนะนำให้อ่าน..."ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน" หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า "The Alchemist"
 เขียนโดย..."เปาโล โคเอโย" และถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาไทยโดย..."อ.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์"



       นวนิยายเรื่องนี้...เป็นเรื่องราวการเดินทางของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นเพียง "เด็กเลี้ยงแกะ" หากเขาคิดจะยึดอาชีพนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็อาจจะทำให้เขาดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างราบเรียบ-เป็นปกติสุขเช่นเดียวกับเด็กเลี้ยงแกะอีกหลายต่อหลายคน ทว่า...เมื่อวันนึงเขาเริ่มฝันถึงสมบัติที่อยู่ห่างไกลออกไป เด็กหนุ่มผู้มีหัวใจของการเป็น "นักแสวงหา" อย่างเต็มเปี่ยม ก็ตั้งใจมั่นที่จะออกค้นหาสมบัตินั้น แม้จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสมบัติดังกล่าวจะมีอยู่จริงหรือไม่ คำทำนายของหมอดูจะเชื่อได้หรือไม่ 
        รวมทั้งตลอดเส้นทางที่ (เขาเชื่อว่าจะ...) ไปสู่ขุมสมบัตินั้น เขาต้องแลกกับการสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป แต่เขากลับเห็นว่า สิ่งที่เขาสูญเสียไป (ในที่นี้คือฝูงแกะ-อาชีพเลี้ยงแกะ) นั้น เป็นสิ่งที่เขาสามารถกลับมาทำมันได้อีกทุกเมื่อ ส่วนสมบัติที่เขาจะไปค้นหา นั่นแหละคือสิ่งที่เขาไม่มี
 และถ้าไม่ลองออกไปหาดู ก็จะไม่มีวันรู้ว่ามันมีอยู่จริงหรือไม่!
 แล้วความฝันก็อาจจะยังคงเป็นความฝันอยู่วันยันค่ำ
 ทันทีที่เริ่มก้าวเท้าออกเดินไปสู่เส้นทางที่ไม่คุ้นชิน อุปสรรคต่างๆ ก็ถาโถมกันเข้ามาทดสอบความตั้งใจ แต่เด็กหนุ่มก็พร้อมเผชิญ และพร้อมเสมอที่จะเอาต้นทุนที่เขามีอยู่เข้าแลกกับมัน
 "ในการเดินทางสู่ชะตากรรม ทุกสิ่งในจักรวาลจะร่วมกันช่วยให้เราประสบความสำเร็จ" นี่คือประโยคทอง...ที่เปรียบเสมือนเข็มทิศในการเดินทางเพื่อบรรลุฝันของเขา ทุกครั้งที่เขาเจอปัญหา-อุปสรรคเขาจะนึกถึงมัน ในเรื่องมันเป็นประโยคที่ผ่านออกมาจากปากของตัวละครตัวหนึ่ง-"ราชาผู้ชรา" และตลอดการเดินทางคำพูดต่างๆ ของราชาผู้ชราจะติดตามเด็กหนุ่มไปทุกหนทุกแห่ง
 ระหว่างการเดินทางนั้น เขามักจะได้พบเจอกับผู้คนที่หลากหลาย และหลายคนที่เขาเจอมักจะเป็นคนประเภทที่มีความเชื่อว่า "ทุกอย่างถูกลิขิตไว้แล้ว" ดังนั้น คนเหล่านั้นจึงไม่ค่อยยอมที่จะพบกับความเปลี่ยนแปลงใดๆ
 นอกจากความมุ่งมั่นตั้งใจที่เป็นลักษณะเด่นของเด็กหนุ่มแล้ว ความช่างสังเกตและใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ รอบข้างก็เป็นลักษณะเด่นของเขา ซึ่งมันทำให้เขาสามารถเข้าถึง-เข้าใจโลกได้ดีกว่าชายคนหนึ่งที่แม้จะมีความมุ่งมั่นในการออกค้นหา "นักแปรธาตุ" แต่การที่เขามัวแต่ยึดทฤษฎี และเรียนรู้แต่เพียง "กระพี้" จึงไม่อาจเข้าถึง "แก่นแกน" ของสรรพสิ่งในโลกได้
 "จงหัดอ่านลาง แล้วเดินตามวิถีแห่งลางนั้น" นี่เป็นอีกหนึ่งคำแนะนำของราชาผู้ชรา และแน่นอนว่าเด็กหนุ่มยินดีที่จะเดินตามคำแนะนำนี้
 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะดูเหมือนนักเสี่ยงโชค แต่การตัดสินใจของเขามักจะมีเหตุผลเข้ามาประกอบ เห็นได้จากเขาใช้หิน 2 ก้อนที่ได้มา ซึ่งเรียกว่า "อูริม" กับ "ธุมมิน" (เป็นหินสำหรับเสี่ยงทายว่า "ใช่" กับ "ไม่ใช่") เพียงครั้งเดียวเท่านั้น นอกจากนั้นเขาจะใช้วิธีอ่านลาง และตัดสินใจด้วยตัวเองเป็นส่วนใหญ่
 ทั้งนี้ นอกจากตัวเด็กหนุ่มที่มีความมุ่งมั่นแล้ว ยังมีตัวละครที่น่าสรรเสริญ และถือได้ว่ามีส่วนสำคัญทำให้การค้นหาสมบัติของเด็กหนุ่มดำเนินไปได้ ก็คือ พ่อ-แม่ที่เคารพในการตัดสินใจของลูกที่ขอเลือกวิถีชีวิตด้วยการเป็นเด็กเลี้ยงแกะในเบื้องต้น โดยแทนที่จะทัดทาน เพราะครอบครัวก็มีอาชีพอยู่แล้ว พ่อของเด็กหนุ่มกลับให้การสนับสนุนด้วยการซื้อแกะให้ ขณะที่หญิงสาวคนรักที่เขาได้พบเจอระหว่างการเดินทางและเข้าไปพักที่ "โอเอซิส" นั้น หล่อนก็เป็นหญิงสาวแห่งยุคสมัยใหม่ที่ไม่คิดจะกีดกันหรือฉุดรั้งความฝันของเด็กหนุ่มเอาไว้ ในทางกลับกันหญิงสาวส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กหนุ่มเดินทางต่อไปเพื่อบรรลุสิ่งที่ตั้งใจ ไม่ได้มัวลุ่มหลงอยู่แค่ลาภ ยศ สรรเสริญที่อาจจะสิ้นไปได้ในสักวัน ซึ่งเด็กหนุ่มได้รับในขณะที่อยู่ในโอเอซิสนั้น
       ที่เล่ามาออกจะยืดยาวไปหน่อย...และนี่เป็นเพียงแง่มุมที่มองเห็นจากการอ่าน "ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน" มันเป็นเพียง "ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน" ในทัศนะของผมเท่านั้น แต่มันจะเป็น "ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน" ของคนอื่นอย่างไร...ผมคงไม่อาจทราบได้...และใครก็คงไม่อาจทราบของคนอื่นๆ ได้
 เพราะวิถีการค้นหา "ขุมทรัพย์" มันจะเป็นแบบ...ของใครของมัน!!! ลองอ่านดูนะครับ...

แรงบันดาลใจจากอดีตคนไม่เอาไหนที่เป็นตำนานของโลก!!!

ชายคนหนึ่ง เพิ่งพูดได้ตอนอายุ 4 ขวบ
อ่านหนังสือออก ตอนอายุ 8 ขวบ
เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน
เคยถูกอาจารย์ระบุว่า
สมองช้า ไม่ชอบสังคมและล่องลอย
อยู่ในความฝันอันโง่เขลาของตนตลอดเวลา!!
ชายคนนั้น..ชื่อ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
บิดาแห่งปรมาณู…
……
ชายคนหนึ่ง สอบตกตอนอยู่ประถม6
เคยมีชีวิตที่พ่ายแพ้ ล้มเหลวมาตลอด!!
ได้ทำประโยชน์ก็เมื่อเป็นผู้สูงอายุแล้ว
ชายคนนั้น..ได้เป็นนายกรัฐมนตรี อายุ 62 ปี
ชายคนนั้น..ชื่อ วินสตัน เชอร์ชิล
อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ
…….
ชายคนหนึ่ง เป็นนักร้อง
เขาเคยถูกผู้จัดการแกรนด์โอเลโอเพรย์ไล่ออก!!
เคยโดนดูถูกว่า แกมันไปไม่ถึงไหนเลย
ควรกลับไปขับรถบรรทุกมากกว่า
ชายคนนั้น…ชื่อ เอลวิส เพรสลีย์
ตำนานนักร้องชื่อก้องโลก...
…………..
ชายคนหนึ่งตอนเรียนปริญญาตรี
เคยถูกจัดให้เป็นแค่นักศึกษาระดับกลางเท่านั้น
เคยสอบได้อันดับ15 จาก 22 คนในวิชาเคมี
ชายคนนั้น…ชื่อ หลุยส์ ปาสเตอร์
นักเคมีและนักจุลชีววิทยาผู้ทำคุณประโยชน์แก่โลก
…………
ชายคนหนึ่งถูกปฏิเสธจากโรงเรียนเตรียมทหาร
เวสต์พอยต์ถึงสองครั้งสองครา
ด้วยความพยายามไม่ท้อถอย จนครั้งที่สาม
เขาถึงได้เข้าเรียนและเป็นนายทหารสมใจ
ชายคนนั้น…ชื่อ นายพลดักลาส แมคอาเธอร์
ผู้พิชิตแปซิฟิกแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง
…………
นี่แหละครับ เรื่องราวบางมุมของผู้ที่แข็งแกร่ง
ผู้ที่ประสบความสำเร็จและสร้างชื่อเสียงแก่โลก
ที่เป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของเราได้
จริงๆยังมีอีกเป็นร้อยเป็นพันตัวอย่างของคนเก่ง
บิลล์ เกตส์, วอเรน บัฟเฟ่ต์, สตีฟ จ็อบส์
ผู้พันแซนเดอร์ หรือแม้แต่  ซูซาน บอยล์ และอีกมากมาย
เส้นทางเดินของผู้ที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้
ไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบแต่อย่างใด
บางคนต้องพยายามเกือบทั้งชีวิต
จึงจะพบกับความสำเร็จในท้ายที่สุด
หรือบางคนต้องอดทนในการทำอะไรสักอย่าง
จนถึงจุดหนึ่งจึงจะประสบความสำเร็จ
ไม่มีของง่ายในโลกนี้ และไม่มีอะไรสำเร็จ
โดยไม่ต้องออกแรง โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม
(แม้จะมีข้อยกเว้นแต่ก็เป็นส่วนน้อย)
และไม่สำคัญว่า เรามาจากไหน มีอะไรแค่ไหน
แต่สำคัญที่ว่า เราจะไปที่ใด และเราต้องการอะไร
เดินไปอย่างมีเป้าหมาย…ดีกว่าเดินไปอย่างไร้จุดหมาย
ท้อเมื่อใด ล้มเมื่อใด ไม่ต้องโทษใครแม้แต่ตนเอง
แต่ให้รีบลุกขึ้นมาให้ไว เรียนรู้และเดินต่อไป
เพราะว่า..วันพรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้…..
ขอบคุณบทความจาก: http://www.oknation.net/blog/kritwat/2012/10/19/entry-1

เพื่อเป้าหมายที่ต้องการ!!เราต้องเสียอะไรไปบ้าง?? ชั่งน้ำหนักกันให้ดี!!

การงาน การเงิน ทรัพย์สิน ครอบครัวและความสุข
เป็น 5 สิ่งสำคัญในการใช้ชีวิตของคนเรา
แน่นอนว่า  เกือบทุกคนต้องการทั้งหมด
หลายคนจัดสมดุลย์ชีวิตกับเป้าหมายเหล่านี้ได้ดี
มีฐานะดี มีการงานที่มั่นคงก้าวหน้า
มีการเงินที่คล่องตัว ไม่เป็นหนี้เป็นสิน
มีครอบครัวที่อบอุ่น มีแฟน มีลูกที่น่ารัก
มีเวลาในการหาความสุขให้กับตนเอง
และมีเวลาใช้ชีวิตกับครอบครัวคนรอบข้าง
แต่เชื่อว่ายังมีคนอีกเป็นจำนวนมาก
ที่ยังมีปัญหากับการจัดสมดุลย์ในเรื่องเหล่านี้
กับเป้าหมายที่เราต้องการในชีวิตของเรา
เราจึงยังเห็นคนหลายคนที่มีรายได้สูง
มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดี
แต่มีหนี้สินพะรุงพะรังจากการใช้จ่าย
การก่อหนี้เกินตัว การสร้างภาระ
ทั้งผ่อนบ้าน ผ่อนรถ จนรายได้ส่วนหนึ่ง
กลายเป็นดอกเบี้ยให้กับนายทุนทั้งหลาย
เรียกได้ว่า ทำเท่าไหร่ก็จ่ายดอกเบี้ยหมด
หรือบางคนที่แม้มีเงินทองมากมาย
แต่หาความสุขในครอบครัวแทบไม่ได้
บางคนมีครอบครัวที่อบอุ่น มีลูกที่น่ารัก
แต่เริ่มมีปัญหาเรื่องการงาน การเงิน
หรือหลายคนที่มีตำแหน่งที่ดี มีรายได้ดี
แต่ยังมีปัญหาทางด้านครอบครัว
เพราะมุ่งเน้นกับการทำงานอย่างหักโหม
เคร่งเครียดจนเกิดความกดดันกับตนเอง
คนรัก ครอบครัว และคนรอบข้าง
หรือทำงานหนัก ไม่มีเวลาหาความสุขใส่ตน
ในแต่ละวัน จนชีวิตแห้งแล้ว เหี่ยวเฉาก็มี
บางครั้งบางที ฐานะ, การงาน, การเงิน
ครอบครัวและความรัก ไม่ได้มาพร้อมกัน
เราต้องก่อร่างสร้างขึ้นมาทีละอย่างสองอย่าง
กว่าจะสมบูรณ์หรือมีครบตามเป้าหมายของเรา
และแม้บางครั้งเราสร้างขึ้นมาแล้ว ทำขึ้นมาแล้ว
พอได้อย่างหนึ่งแต่ต้องเสียอีกอย่างหนึ่งไป
ก็มีให้เห็นถมเถไปในชีวิตของมนุษย์เรา
เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ไม่จีรังยั่งยืนอะไร
..........................
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เราทำได้
เราสร้างได้ หากเราวัดระดับความต้องการของเรา
รู้จักพอ รู้จักความเหมาะสม นั่นคือความสุข
ซึ่งบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องรอให้เราพร้อมทุกด้าน
ทั้งการงาน การเงิน ความรัก ครอบครัว หรือฐานะ
เราจึงจะมีความสุข แต่เราสร้างความสุขได้
ตั้งแต่นาทีนี้วันนี้ และทุกๆวันในชีวิตของเรา
จะดีกว่าไหมครับ ถ้าเป้าหมายเรายังอยู่
เรายังต้องทำตามเป้าหมายของชีวิตเราต่อไป
เพียงแต่ในขณะที่เราทำตามเป้าหมายนั้น
เรามีความสุขและมีสมดุลย์ในการใช้ชีวิตด้วย
หากเป้าหมายบางเป้าหมายลดทอนความสุข
เราก็อาจต้องเลือกตัดบางเป้าหมายออกไปบ้าง
เพราะในความเป็นจริง ไม่มีใครได้ทุกสิ่ง
ไม่มีใครได้ทุกอย่างที่ต้องการ แต่ไม่ใช่เพราะว่า
เราไม่มีทาง ไม่มีความสามารถจะทำได้
เพียงแต่เพราะว่าความต้องการของมนุษย์
อย่างเราๆนั้นไม่มีที่สิ้นสุดนั่นเอง….
ขอบคุณบทความจาก : http://www.oknation.net/blog/kritwat/2012/11/19/entry-1

5 อันดับวันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของคนเรา!!!

ว่ากันว่าชีวิตคนเรานั้น ยิ่งแก่ยิ่งแกร่ง
บางคนบอกว่า ไม่ใช่แกร่งเพราะเรื่องดีๆ
แต่แกร่งเพราะเรื่องเลวร้ายที่เข้ามาในชีวิตเรานั่นเอง
แน่นอนว่า เรื่องดีๆทำให้เรามีความสุข
แต่เรื่องดีๆไม่ได้เกิดขึ้นทุกวันหรือบ่อยๆ
ซ้ำร้ายชีวิตบางคนอาจหนักหนาสาหัส
เจอแต่เรื่องไม่ดีเข้ามาในชีวิตก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม ชีวิตคนเราในแต่ละวันนั้น
ย่อมมีสุขมีทุกข์คละเคล้าปะปนกันไป
ดีบ้างร้ายบ้าง ทำให้เรายิ้มบ้างร้องไห้บ้าง
ไม่มีใครสุขได้ทุกวัน ทุกข์ได้ทุกครั้ง
แต่จะมีบางวันที่นับเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต
ซึ่งหากเราพบเจอแจ็กพ็อตใดๆในวันนั้น
มันจะทำให้อารมณ์ความรู้สึกของเรา
กระจัดกระจายกระเจิดกระเจิง ทุกข์ใจอย่างที่สุด
อันดับที่ 1
วันที่คนที่เรารักที่สุดในชีวิตตายจากเราไป
วันแบบนี้คงไม่มีใครหนีพ้น ไม่เจอช้าก็เร็ว
นับเป็นวันที่ทุกข์ทรมานใจที่สุดในโลกวันหนึ่ง
แม้เราชาวพุทธจะรู้อยู่ว่า เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา
แต่เอาเข้าจริงเราก็ต้องใช้เวลาในการทำใจเช่นกัน
โดยเฉพาะวันที่เราสูญเสียปู่ย่าตายายพ่อแม่
ยิ่งหากเป็นการสูญเสียลูกก่อนวัยอันควรด้วยนั้น
มันโศกเศร้าและทำใจยากเหลือกำลัง
รวมถึงการสูญเสียคนรักด้วยการตายจากกันด้วย
ชายหญิงคู่หนึ่งคบกันสิบกว่าปีตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย
กำลังจะแต่งงาน แต่ฝ่ายหญิงจากไปด้วยอุบัติเหตุ
ทำให้ฝ่ายชายทำใจไม่ได้ใช้ชีวิตเคว้งคว้างอยู่หลายปี
กว่าจะทำใจกลับมาใช้ชีวิตแบบคนปกติที่มีความสุขอีกครั้ง..
อันดับ 2  
วันที่เราถูกทำร้ายจิตใจอย่างสาหัสที่สุดในชีวิต
วันที่คนที่เรารักถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจ
ลูกสาวหรือแฟนถูกข่มขืน  ถูกล่วงละเมิดทางเพศ
หรือแม้เต่เกิดจากความยินยอมของคนข้างกายเรา
วันที่แฟนของเรานอกใจเรา  นอกกายเรา
วันที่แฟนของเรานอนกับชายอื่น หรือ หญิงอื่น
มีอะไรกันกับคนอื่น ทั้งที่บอกว่ารักเรา
แอบคบกับคนอื่น ทั้งที่ควรจะมีเราคนเดียว
ความลับไม่มีในโลก และสักวันหนึ่งก็เป็นวันที่เรารู้
และวันแบบนี้ ช่างทำร้ายเราได้อย่างเจ็บปวดที่สุด
อันดับ 3
วันที่เราหมดตัว สิ้นเนื้อประดาตัว
วันที่ไฟไหม้ทรัพย์สินของเราจนหมด ไม่มีเหลือ
ถูกปล้นหรือถูกโกงจนหมดเนื้อหมดตัว
เป็นหนี้เป็นสิน จนไม่มีทางโงหัวขึ้น
หรือทำธุรกิจแล้วเจ๊งจนหมดไม่เหลืออะไร
วันที่เปลี่ยนจากคนรวยมาเป็นคนจน
เปลี่ยนจากคนมี กลายเป็นคนไม่มี
วันที่ถูกยึดทรัพย์ ถูกเป็นคนล้มละลาย
(ยกเว้นพวกที่ล้มบนฟูก ไม่นับในกลุ่มนี้)
วันที่ถูกยึดบ้าน ยึดรถยนต์ เป็นต้น
หรือแม้แต่วันที่เรากลายเป็นคนไม่มีเครดิต
ไม่มีใครเชื่อถือ ไม่มีใครไว้วางใจอีกต่อไป
จะบากหน้าไปหาใคร ก็มีแต่คนปฏิเสธ
วันเหล่านี้นับเป็นวันเลวร้ายที่เราต้องจดจำ
ไปจนตลอดชีวิตของเรา วันหนึ่ง เช่นกัน

วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เรื่องเล่า - วิธีของคนที่ไม่เก่ง หัวไม่ดี!!!

ที่เมืองๆหนึ่ง มีเด็กหนุ่มผู้เรียนรู้ช้า ชื่อว่า อาหลง
เขาเป็นลูกชายของพ่อค้ารายหนึ่ง แม้ว่าบิดาของเขา
จะส่งเขาไปร่ำเรียนวิชาความรู้สักเท่าใด
แต่เขาก็ไม่อาจจะก้าวหน้าทันคนอื่นได้สักที
สร้างความกลุ้มใจให้บิดาของเขายิ่งนัก
วันหนึ่ง พ่อของเขาจ้างบัณฑิตมาสอนที่บ้าน
แทนที่จะส่งเขาไปเรียนที่สำนักเหมือนเช่นเคย
เพราะเห็นว่าอาหลง ลูกของตนหัวช้ากว่าคนอื่น
อาหลงนั้น เมื่อเรียนหนังสือช้า ไม่รู้เรื่องเหมือนคนอื่น
ก็พาลหมดกำลังใจไม่อยากจะเรียนรู้วิชาอีกต่อไป
จึงไม่ยอมอ่านหนังสือหรืออ่านตำราเล่มใดอีกเลย
เมื่อบิดาบอกให้เขามาเรียนตัวต่อตัวกับอาจารย์ที่บ้าน
เขาก็ไม่ใคร่อยากจะใส่ใจและสนใจเรียนเท่าใดนัก
ท่านพ่อ ท่านก็รู้ว่าข้านั้นเรียนหนังสือไม่ได้เรื่อง
ท่านก็อย่าลำบากหาอาจารย์มาสอนข้าอีกเลย
บิดาของเขาได้ฟัง จึงกล่าวว่า
อาหลง เจ้าไม่ต้องพูดมากความ
ข้าให้เจ้าเรียนเจ้าก็เรียนเสียเถิด
เมื่อกล่าวถึงอาจารย์ของอาหลงนั้น
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่บัณฑิตที่มีชื่อเสียงมากนัก
แต่วิชาปรัชญาและความรอบรู้ต่างๆนั้น
เขาก็มีความรู้ความสามารถไม่แพ้ใครเลยทีเดียว
บิดาของอาหลงจึงวางใจให้มาสอนลูกชายของตน
การศึกษาของอาหลงในช่วงแรก เป็นไปอย่างทุลักทุเล
อาหลง ไม่ตั้งใจเรียน เขาเบื่อหน่ายกับการเรียน
เพราะแม้เขาจะตั้งใจ แต่การเรียนของเขาก็ไม่คืบหน้า
อย่างไรก็ตาม อาจารย์ของเขาไม่มีท่าทีเบื่อหน่ายแม้แต่น้อย
วันหนึ่ง อาจารย์ชวนอาหลงเดินไปที่สระน้ำ

ซึ่งในสระมีสัตว์น้ำรวมไปถึงเต่ามากมาย

อาจารย์หยิบเต่าออกมาตัวหนึ่ง แล้วถามอาหลงว่า
อาหลง เจ้าว่าเจ้าเต่านี่อืดอาดหรือไม่
ท่านอาจารย์ ในบรรดาสัตว์ต่างๆในโลกนี้นั้น

หามีสัตว์ใดที่อืดอาดกว่าเต่าไม่ อาหลงกล่าว
งั๊นข้าขอถามเจ้าต่อว่า หากข้าวางเจ้าเต่าเอาไว้ตรงนี้
ว่าแล้วอาจารย์ก็ปล่อยเต่าเอาไปไว้ที่ไกลจากสระน้ำพอสมควร
แล้วให้เจ้าหยุดยืนอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน
เจ้าคิดว่า ใครจะไปถึงสระน้ำก่อนกันล่ะ
เมื่อจบคำถาม อาหลงก็เห็นว่า เต่ากำลังค่อยๆคลานไป
ด้วยความเชื่องช้า แต่ตัวเขานั้นหยุดอยู่กับที่ไม่ไปไหน
"ท่านอาจารย์ ท่านสั่งไม่ให้ข้าเดิน ข้าจะไปถึงสระน้ำได้อย่างไร
แม้เจ้าเต่าจะเดินเชื่องช้า แต่มันค่อยๆเดิน
อย่างไรเสีย มันก็ต้องไปถึงสระน้ำก่อนข้าแน่นอน"
คำตอบของอาหลง ทำให้อาจารย์ยิ้มออกมาได้
อาหลงเอ๋ย อันการเดินไปถึงสระน้ำนั้น ก็ไม่ต่าง

จากการศึกษาวิชาความรู้ของเจ้าสักเท่าใดนักหรอก

เพราะไม่ว่าจะเดินช้าหรือเรียนรู้ได้ช้า

แต่หากว่าเราตั้งใจ ค่อยๆเดิน ค่อยๆศึกษา

สักวันจะต้องถึงจุดหมายอย่างแน่แท้

ต่างกับคนเก่ง แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ขยับไปไหน

ต่อให้อีกร้อยปีก็ไม่อาจจะถึงจุดหมายได้ 
เมื่ออาหลงได้ฟังดังนั้น ก็คิดได้

เขาเลิกดูถูกตัวเอง ตั้งใจเล่าเรียนเพียรศึกษา

จนสุดท้าย เขาก็เข้าใจในตำราและเรียนสำเร็จในที่สุด
สุภาษิตสอนใจ
การเติบโตแม้จะช้า ก็ยังไม่น่ากลัวเท่ากับการหยุดนิ่ง

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทำอย่างไรจึงจะอยู่อย่างมีความสุข

ทำอย่างไรจึงจะอยู่อย่างมีความสุข




ความเอ๋ย ความสุข
ใครๆทุกคน ชอบเจ้า เฝ้าวิ่งหา
“แกก็สุข ฉันก็สุข ทุกเวลา”
แต่ดูหน้า ตาแห้ง ยังแคลงใจ
ถ้าเราเผา ตัวตัณหา ก็น่าจะสุข
ถ้ามันเผา เราก็ “สุก” หรือเกรียมได้
เขาว่าสุข สุขเน้อ อย่าเห่อไป
มันสุขเย็น หรือสุกไหม้ ให้แน่เอ่ยฯ
"ท่านพุทธทาสภิกขุ"

ความสุข เป็นยอดปรารถนาของมนุษย์ที่สามารถแสวงหาได้ ซึ่งแนวทางในการทำตัวให้มีความสุข มีดังต่อไปนี้
1. การรักษาสุขภาพทางกายให้แข็งแรง
สุขภาพทางกายและสุขภาพทางจิตมีอิทธิพลต่อกันและกัน คนที่มีสุขภาพกายดีย่อมส่งผลให้มีจิตใจร่าเริงเข้มแข็ง การทำให้สุขภาพแข็งแรง ได้แก่การรับประทานอาหารถูกส่วน การพักผ่อนเพียงพอ การรักษาความสะอาดของร่างกาย ตลอดจนการออกกำลังกายอย่างพอเพียง
2. มีความสุขกับการทำงาน
การเลือกทำงานที่ชอบหรือการสร้างความพึงพอใจในงานที่ทำ หาวิธีการทำงานให้มีความสุข พร้อมทั้งกำหนดเป้าหมายหลายอย่างภายในขอบเขตที่สังคมยอมรับ ตามความสามารถของตนเอง และมองเห็นหนทางไปสู่ความสำเร็จได้ แล้วลงมือปฏิบัติอย่างตั้งใจก็ย่อมจะเกิดความสุข เกิดความปิติจากความสำเร็จในงานตามมา
3. รู้จักตัวเองอย่างแท้จริง
ควรได้สำรวจตัวเองว่าเป็นคนอย่างไร ต้องยอมรับว่าคนเรามีทั้ง ส่วนดีและส่วนเสีย เราต้องมองหาส่วนดี เห็นคุณค่า ชื่นชม พยายามพัฒนาส่วนดี พร้อมทั้งยอมรับในข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แล้วหาแนวทางปรับปรุงแก้ไข คนที่มีความสุขนั้นไม่ได้หมายความว่าจะไม่เคยพบอุปสรรค ข้อขัดแย้งในใจ หรือไม่เคยพบปัญหา แต่อาจจะเป็นคนที่บางครั้งแก้ปัญหาไม่ได้ จึงต้องใช้ความพยายาม ความอดทน ก็จะสามารถเผชิญปัญหาไปได้
4. มีอารมณ์ขัน มองโลกในแง่ดี
ควรมองหาความสุข ความเพลิดเพลิน เพื่อช่วยลดความตึงเครียดต่างๆ ทำให้อารมณ์ผ่อนคลาย การหัวเราะทำให้จิตใจเบิกบาน มีการกระเพื่อมของหน้าท้อง หัวใจปอดได้ออกกำลัง มีผลถึงกล้ามเนื้อหัวไหล่ แขน หลัง กระบังลม และขา เกิดความพึงพอใจในความสุข นอกจากนี้ไม่ควร มองโลกในแง่ร้าย เวลาจะทำอะไรต้องหาจุดดีของเรื่องนั้นให้พบ เมื่อพบแล้วทำความพอใจและชื่นชม ก็จะเกิดแต่ความดีงาม
5. ไม่ควรเก็บอารมณ์ขุ่นมัว
การเก็บกดอารมณ์ทำให้เกิดความ ขุ่นมัว สับสน วุ่นวายใจ เป็นการก่อให้เกิดความตึงเครียด ทางอารมณ์ ผลทำให้สีหน้าหม่นหมอง น่าเกลียด ขากรรไกรประกบกันแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย เหี่ยวย่น ผมสีเทา-ขาว ผมร่วง โรคผื่นคัน พุพอง และสิวตามมา เราควรต้องหาทางระบายอารมณ์ที่ขุ่นมัว โดยการแสดงออกในทางที่สังคมยอมรับและได้ตอบสนองตามความต้องการของเรา แต่ถ้าพบความยุ่งยากใจเพิ่มขึ้น ก็ควรหาวิธีหลีกเลี่ยงเสียก่อน เนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์จะเผชิญความตึงเครียดทางอารมณ์ได้ถึง ขีดหนึ่งเท่านั้น จากนั้นต้องหาทางผ่อนคลาย ดังคำกลอนที่ว่า
เหนื่อยก็พัก หนักก็วาง
วุ่นก็ให้ว่าง ทุกอย่างก็สบาย

ความเป็นผู้ใหญ่-ความฉลาดทางอารมย์-EQ

ความเป็นผู้ใหญ่ - ความฉลาดทางอารมณ์ - EQ






E.Q.เป็นคำฝรั่งที่ฟังดูโก้เก๋ในสมัยนี้ แต่โบราณเขาจะใช้คำว่า"ความเป็นผู้ใหญ่" ซึ่งก็มาจากความมีสติ+สัมปชัญญะ ในพุทธศาสนาที่ได้อบรมบ่มนิสัยให้บุคคลนั้นรู้จักคิด รู้จักพูด รู้จักวางตัวในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ คนที่มีสติ+สัมปชัญญะดี เมื่อทำแบบทดสอบ E.Q.ก็จะได้คะแนนสูงๆ เกือบทุกคน ดังนั้น E.Q.จึงเป็นสิ่งที่ฝึกเอาได้ถ้าต้องการ การฝึกสติก็มีวิธีทำมากมายโปรดศึกษาเอาเองเถิด อยากบอกว่าคนมีสติ+สัมปชัญญะมากๆ อุปมาเหมือนหนึ่งบุคคลที่อยู่ในห้องแคบๆ สัก 1 ตารางเมตรแล้วมีงูพิษตัวหนึ่งอยู่ด้วยในห้องนั้น ความระแวดระวังงู การเผชิญหน้ากับงูด้วยความกล้าหาญและอยู่ร่วมกับงูด้วยวิหิงสาไม่เบียดเบียนกันได้นั้น ต้องมีสติ+สัมปชัญญะตลอดเวลา

การที่บุคคลจะมีพฤติกรรมอย่างไรขึ้นอยู่กับคุณลักษณะที่มีอยู่ โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ นักจิตวิทยา มีความเห็นว่า I.Q. เป็นเรื่องของความฉลาดของคนเรา ประกอบด้วยหลายๆด้าน เช่น ความฉลาดทางเชาว์ปัญญา การคิด การใช้ เหตุผล การคำนวณ และการเชื่อมโยง ซึ่งในอดีตมีความเชื่อดั้งเดิมว่า คนที่มี I.Q. สูงจะประสบความสำเร็จในชีวิต แต่จากการวิจัยของต่างประเทศพบว่า คนที่มี I.Q. สูงไม่ได้ประสบความสำเร็จเสมอไป แต่ปัจจัยที่ส่งผลให้คนประสบความสำเร็จ คือ ความฉลาดทางอารมณ์ E.Q. ซึ่งช่วยให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และมีความสุข สามารถเข้าใจ จัดการความรู้สึกของตนเองได้ดี เข้าใจความรู้สึกของคนอื่น คือ ความสามารถในการรับฟังและเข้าใจทั้งความหมายตรง ความหมายแฝงตลอดจนสภาวะอารมณ์ของผู้ที่ติดต่อด้วย ด้านการจัดการศึกษาในปัจจบัน(การปฏิรูปการศึกษา) มีเป้าหมายให้ผู้เรียนมีลักษระอันพึงประสงค์คือ เป็นคนดี (M.Q) คนเก่ง (I.Q )และ มีความสุข(EQ)

ดังนั้น การพัฒนาความฉลาดทางเชาว์ปัญญา ความฉลาดทางศีลธรรม การพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ หากนำความฉลาดดังกล่าวมาพัฒนาตนเอง ก็จะเป็นรากฐานที่ทำให้สังคมมีความสุข ความเจริญได้อย่างแท้จริงและยั่งยืนต่อไปอย่างแน่นอน

ฉลาดทางอารมณ์ = ฉลาดคิด+ ฉลาดพูด + ฉลาดทำ
ฉลาดคิด ---> ควบคุมความคิดได้ คิดในทางที่ดี คิดในทางสร้างสรรค์
ฉลาดพูด ---> เลือกพูดแต่สิ่งที่ดี มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงคำพูดที่จะทำให้คนเองและบุคคลอื่นเดือดร้อน
ฉลาดทำ ---> "ทำเป็น" ไม่ใช่แค่ "ทำได้" มีความรู้ความเชี่ยวชาญในงานนั้น ๆ



วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

คำคมน่าคิดจากหนังสือ "ความรู้สึกคือเหตุผลอย่างหนึ่ง"


คุณค่าที่ดีที่สุดของ"ประสบการณ์"


ไม่ใช่การสอนว่าเรา "ควรทำ"อะไร


แต่อยู่ที่การเตือนสติว่า เรา"ไม่ควรทำ" อะไร


คำสบประมาท คือ พลังงานรูปแบบหนึ่ง


ทุกครั้งที่ใครบอกว่าเราทำไม่ได้


จงขอบคุณเขา แล้วทำให้ได้!!!


คำว่า "แรงกดดัน" หมายความว่า...


เมื่อมีแรง "กด"ให้ตัวเราต่ำลง


เราจะไม่ยอมแพ้


แต่จะสู้ด้วยการ "ดัน"ตัวเองให้สูงขึ้น

ปัญญาไม่ได้มีอยู่แต่ในมหาวิทยาลัย แต่อยู่ในจิตใจที่ใฝ่รู้


การเรียนรู้

แก้วที่คว่ำอยู่กลางสายฝน
ต่อให้ฝนตกกระหน่ำทั้งคืน
ก็ไม่อาจเต็มไปด้วยน้ำ

คนที่ไม่ยอมเปิดใจเรียนรู้
ต่อให้คลุกคลีอยู่กับนักปราชญ์
ทั้งคืนทั้งวัน
ก็ยังโง่เท่าเดิม

ใฝ่เรียนใฝ่รู้


การเรียนรู้เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้คนเราประสบความก้าวหน้าได้ทั้งในเรื่องชีวิตและ การงาน
และยังเป็นการเปิดโลกให้กว้างขึ้น หากใครมีกำลังวางแผนจะเที่ยวหรือไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ
ซึ่งสถานที่แห่งนั้นมีสิ่งใหม่ ๆ รอให้เรียนรู้อยู่มากมาย หากสิ่งใดที่เราไม่รู้ ก็ขอให้เปิดใจให้กว้าง
เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตเราและสามารถนำมาต่อยอดเป็นประโยชน์ให้แก่สังคมได้


บางคนขณะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทย ทุกสิ่งทุกอย่างสะดวกสบาย อะไรก็รู้ไปหมดเพราะสภาพแวดล้อม
เป็นประเทศไทยของเรา คนไทย และการใช้ภาษาไทย แต่เมื่อไปอยู่ต่างประเทศซึ่งต่างวัฒนธรรม ต่างภาษา
เราต้องมีการเรียนรู้และปรับตัว บางครั้งผู้เขียนได้เดินทางไปต่างประเทศ หลายสิ่งหลายอย่างก็ไม่รู้
แต่ผู้เขียนก็ลองเรียนรู้ดู ลองไปขึ้นรถไฟเอง ลองเดินทางเอง ลองทำหลายสิ่งหลายอย่างที่พระสามารถทำได้
นั่นคือ เราจะฉลาดจากการที่เราโง่ หรือ ไม่รู้ หรือ ทำผิดพลาดมาก่อน


เรื่องความโง่ความฉลาดนี้ ผู้เขียนมองว่า จริง ๆ แล้วไม่มีคนโง่ที่แท้จริงหรอก มีแต่ว่าเขายังไม่รู้
และเรายังค้นหาวิธีที่จะสอนเขาไม่เจอก็เท่านั้น ถ้าผู้ใหญ่จะสอนเด็ก เวลาเห็นเด็กไม่เก่ง ทางที่ดีผู้สอน
ควรจะพูดกับเด็กว่า เธอยังพยายามน้อยไปไหม หรือลองตั้งต้นใหม่อีกทีสิลูก
ซึ่งดีกว่าไปตัดสินว่า เด็กคนนั้นเป็นคนไม่มีคุณค่า หรือทำสิ่งใดไม่ได้เรื่องสักอย่าง


ขณะเดียวกันสำหรับผู้ใหญ่ ในโลกของการทำงาน หากงานใดที่เราทำไม่เป็น ถ้าเพื่อนร่วมงานหรือเจ้านาย
แนะนำก็ควรฟัง หรือควรพยายามเรียนรู้ด้วยตัวเองให้มากที่สุด แต่หากบุคคลใดที่ทำงานไม่เป็นแล้วยังมัว
ถือเนื้อถือตัวว่า เฮ้ย ฉันรู้น่ะ แกไม่ต้องมาบอกฉันรู้ของฉันดี หากพูดอย่างนี้ นอกจากมองไม่เห็น
หนทางก้าวหน้าแล้ว เพื่อนร่วมงานก็ยังไม่รัก ไม่ใส่ใจอีกแล้ว ขอให้เราเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน
เหมือนแก้วน้ำที่มีน้ำเพียงครึ่งแก้ว เพราะแก้วที่มีน้ำเพียงครึ่งแก้วจะสามารถเติมน้ำได้เสมอ
แต่หากเราทำตัวเป็นแก้วที่มีน้ำเต็มอยู่แล้ว ใคร ๆ ก็ไม่อยากเติมอะไรให้ ใคร ๆ ก็ไม่อยากมาสอนเรา


ฉะนั้น ในโลกของการเรียนรู้ อย่าไปคิดว่าเรารู้แล้ว ให้คิดว่าเรานี่ไม่รู้อะไรเลย ช่างกระจกเสียจริง
เรื่องอะไร ๆ ก็ไม่รู้
หากทุกตัวเช่นนี้แล้วผู้อื่นเขาก็อยากจะสอนเรา แต่ถ้าเราทำเป็นรู้ทุกอย่าง
นั่นคือเรากำลังทำตัวเป็น เต่า เป็นสัตว์โลกล้านปี อายุยืนกว่าสัตว์โลกทั้งหมด แต่ทำไมเต่าจึงไม่โตขึ้น
แม้ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ตามนั่นเพราะเนื้อของเต่าขยายตัวไม่ได้ เนื่องจากกระดองของมันแข็งและหุ้มเนื้อตัว
ของมันได้


บุคคลใดที่ทำตัวแข็งกร้าว ไม่อ่อนน้อม ใครแนะนำก็ไม่ฟัง เขาคนนั้นจะเป็นเหมือนเต่า นั่นคือขยายตัวไม่ได้
ต่อให้มีอายุเป็นล้านปี ก็โตไม่ได้ ต่างกับ มนุษย์ซึ่งเกิดมาโตขึ้นทุกวัน ๆ เพราะมนุษย์รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน
และปรับตัวได้ตลอด


มนุษย์คนไหนที่เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ คนคนนั้นจะเป็นคนที่มีเสน่ห์ น่าพูดคุยด้วยและประสบความสำเร็จ
ในชีวิตได้ เช่นเดียวกับ บิล เกตต์ถึงแม้เขาจะเรียนไม่จบ แต่กลับพบความสำเร็จ ที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตและการงาน
นั่นเพราะเขาเป็นคนใฝ่เรียนรู้ด้วยตนเอง นี่แสดงให้เห็นว่า ...


ปัญญาไม่ได้มีอยู่แต่ในมหาวิทยาลัย แต่อยู่ในจิตใจที่ใฝ่รู้

วันนี้หากเรายังเป็นลูกน้องเขา แต่ถ้ารักการเรียนรู้ วันหนึ่งก็จะกลายเป็นนาย กลายเป็นหัวหน้า
แต่หากไม่รักการเรียนรู้ วันนี้เป็นลูกน้องเขา ปีหน้าก็เป็นลูกน้อง ปีต่อไปก็เป็นลูกน้องตลอดไป
เช่นนี้แล้วเมื่อไรจะเป็นหัวหน้าคน เพราะฉะนั้น ถ้าเราเรียนรู้อยู่เสมอ ในอนาคตก็จะสามารถเป็นผู้นำได้


บุคคลใดใฝ่เรียนใฝ่รู้ คนคนนั้นจะกลายเป็นยอดคน ตรงกันข้าม บุคคลใดไม่เป็นคนใฝ่เรียน ใฝ่รู้
คนคนนั้นจะเป็นคนที่เห็นแก่ท้ายทอยคนอื่น เมื่อไรจะขึ้นมาอยู่ข้างหน้าบ้าง เมื่อไรจะกลายเป็น
ผู้นำ (Leader) ถ้าไม่เป็นคนใฝ่เรียนใฝ่รู้ เราก็จะต้องเป็นผู้ตาม(Follower) อยู่เช่นนั้นตลอด


.............................................................................................................................................

เพียงแค่รู้ัจักเปิดใจเรียนรู้ ยังมีสิ่งดี ๆ ในโลกให้ดูีอีกมากมาย

... (๙ เรื่องเพื่อความก้าวหน้า : ท่าน ว.วชิรเมธี)

วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2555

นิทานสอนใจ : วัวขาวหางดำ



วัวตัวหนึ่งมีสีขาวทั้งตัว แต่มีสีดำติดอยู่ตรงปลายหางนิดหนึ่ง ควายอีกตัวมีสีดำทั้งตัว ทั้งวัวและควายสองตัวนี้ ต่างก็อยู่ในคอกเดียวกันและเป็นเพื่อนรักกันมานาน

วันหนึ่งควายพูดกับวัวว่า...
“นี่ วัวจ๋า ฉันมีเรื่องอยากบอกเธอมานานแล้วล่ะ แต่กลัวเธอจะว่าเอา”

วัวบอกควาย ว่า “มีอะไรหรือควาย เราเป็นเพื่อนกันนะ เพราะฉะนั้นพูดมาได้เลยจ๊ะ”

ควายจึงโล่งใจ และพูดขึ้นว่า “นี่แน่ะวัว ตัวเธอน่ะมีสีขาวสวยงามมากจริงๆ นะ สวยกว่าวัวทุกตัวที่ฉันเคยเห็นเลยล่ะ เสียอยู่หน่อยหนึ่งเท่านั้นเอง

“อะไรหรือ” วัวถาม

“ก็ปลายหางของเธอน่ะดำปี๋เลย ดูแล้วไม่สวย เธอไม่น่าจะมีสีดำตรงนั้นเลยนะ”

วัวบอกควาย ว่า “ก็จะให้ทำอย่างไรล่ะจ๊ะควาย สีดำตรงนั้นมันติดตัวฉันมาตั้งแต่เกิดแล้วนี่นา”

“ก็นั่นน่ะสิ ไม่รู้จะมีมาทำไมนะ ทำให้เธอเป็นวัวที่มีตำหนิ ไม่สวยเลยล่ะ”

ควายยังแสดงความคิดเห็นต่อ ส่วนวัวไม่ได้พูดอะไรอีก มันก้มลงเล็มหญ้า

หลังจากวันนั้น ควายก็ยกเอาเรื่องปลายหางสีดำของวัวขึ้นมาพูดทุกวัน

“สีดำตรงปลายหางเธอนี่ไม่สวยเลยนะ”

“ดูกี่ทีๆ ก็เหมือนมีรอยตำหนิล่ะ”

“ถ้าเธอไม่มีรอยดำตรงปลายหาง เธอต้องสวยกว่านี้แน่”

“สีดำนั้นดำมากเลยนะ เธอไม่น่ามีมันเลยล่ะ”

ในที่สุดวัวก็ทนไม่ไหว พูดกับควายว่า

“พอที ทำไมเธอต้องมามองแต่จุดดำของฉัน ไม่สังเกตบ้างหรือไงว่า เธอน่ะดำหมดทั้งตัวเลย”
บทสรุปของผู้แต่ง

คนเราหลายๆ คนก็มักเป็นอย่างควายในเรื่องนี้ คือ มองเห็นแต่จุดดำ หรือข้อผิดพลาดของคนอื่นมากกว่าจุดดีๆ หรือสิ่งดีๆ ในตัวเขา ที่แย่กว่านั้น คนแบบนี้มักจะไม่ค่อยย้อนมองดูตัวเอง จึงไม่รู้ว่าตัวเองมีส่วนที่เป็นสีดำมากกว่า และแย่กว่าจุดดำเล็กๆ ที่คนอื่นมีเสียอีก

คนเรานั้นไม่มีใครดีพร้อมหรอก ทุกคนต่างก็มีจุดบกพร่องและเรื่องไม่ดีเล็กๆ น้อยๆ แซมอยู่ในตัวเอง ไม่เว้นแม้แต่ตัวเรา ถ้าเขาเป็นคนดี การคบเขาก็เป็นเรื่องที่ถูกที่ควรแล้ว ส่วนข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ นั้น เมื่อสนิทชิดเชื้อพอที่จะเตือนกันได้ ก็ค่อยเตือนเขาให้ปรับปรุง ซึ่งถือเป็นหน้าที่หนึ่งของเพื่อนแท้

ดังนั้น จำไว้ว่า อย่าเพิ่งประเมินใครในแง่ร้ายจนกว่าจะได้รู้จักคนๆ นั้นจริงๆ เพราะอาจจะเสียโอกาสที่จะได้รู้จักคนดีที่สุดในชีวิตไปเลยก็ได้ ซึ่งเราก็รู้กันดีอยู่แล้วว่า ในชีวิตของเรา จะมีโอกาสเจอคนดีๆ อย่างนั้นได้สักกี่ครั้งกันเชียว

//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดีๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

ประสบการณ์นักบริหาร ตอน การใช้ภาวะผู้นำ

 วันนี้กระผมมีบทความดี ๆ ที่มีสาระและเป็นประโยชน์สำหรับพี่ ๆ น้อง มีเนื้อหาโดยสรุปย่อดังนี้ ครับ
หัวข้อบรรยาย : ประสบการณ์นักบริหาร ตอน การใช้ภาวะผู้นำ
ผู้บรรยาย : ศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
คำบรรยายโดยย่อ :
การเป็นผู้นำ มีแนวทางและคุณสมบัติ 8 ประการ คือ
ประการที่ 1 การยึดแนวทาง "คุณธรรม" นั่นคือการเป็นคนที่มีคุณค่า และคุณธรรม
ประการที่ 2 การยึดแนวทาง "เห็นการณ์ไกล" หรือ "Vision" เป็นการมองเห็นการณ์ไกล การมองไปข้างหน้าเสมอ ด้วยความพยายามและความตั้งใจ
ประการที่ 3 การยึดแนวทาง "บวกเสมอ" ถ้าเราคิดทุกอย่างเป็นบวก เราจะมีพละกำลังและพลังงานบวกอยู่ในตัว ทำให้มีความพยายามมากขึ้น
ประการที่ 4 การยึดแนวทาง "สร้างแรงบันดาลใจ" หรือ การมี Innovation การคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆตลอดเวลา อย่างไม่รู้จบ
ประการที่ 5 การยึดแนวทาง "คนเก่งกว่าเรา" การเห็นคนอื่นเก่งกว่าตนเอง เพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ และสร้างการเคารพซึ่งกันและกัน
ประการที่ 6 การยึดแนวทาง "รู้ข้อมูล" และ "เรียนรู้ตลอดเวลา" การสร้างแรงบันดาลใจและจินตนาการ อันทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ทั้งชีวิต
ประการที่ 7 การยึดแนวทาง "ธรรมชาติสร้างคน" การเป็นธรรมะ และธรรมชาติ นั่นคือ การมีเหตุมีผลตามหลักคำสอนพุทธศาสนา มีธรรมะอยู่ในใจ มีความเป็นธรรมชาติ
ประการที่ 8 คือการนำแนวทางทั้ง 7 ประการข้างต้นมารวมกัน อันได้แก่ "คุณ - เห็น - บวก - สร้าง - คน - รู้ - ธรรม" นั่นคือการสร้างคนที่มีคุณสมบัติทั้ง 7 ประการ

ขอบคุณความรู้ดี ๆ จาก http://www.trueplookpanya.com

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

7 Habits: อุปนิสัยที่ 2 Begin with the end in mind


 บทความจาก Prakal's Blog
              เมื่อวานนี้ได้เขียนอุปนิสัยที่ 1 ของ 7 อุปนิสัยแห่งคนที่มีประสิทธิผลสูง ซึ่งก็คือ เรื่องของ Proactive ครับ วันนี้จะมาต่อในอุปนิสัยที่ 2 ก็คือ Begin with the end in mind ก็คือการเริ่มต้นจากเป้าหมายสูงสุดของชีวิตเรา  การที่เราจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในเรื่องใดๆ ก็ตาม สิ่งที่เราจะต้องมีก่อน ก็คือ นิสัยแบบ Proactive จากนั้นก็มาต่อด้วยการที่เราจะต้องมีเป้าหมายสูงสุดของชีวิตเราเองว่า จริงๆ แล้วเป้าหมายนั้นคืออะไร สิ่งที่ผู้เขียนเขาแนะนำก็คือ ให้คิดดูว่า ถ้าเราเสียชีวิตไปแล้ว เราอยากให้คนอื่นๆ พูดถึงเราว่าอย่างไร อยากให้เขามองเราว่าเป็นอย่างไร ดีอย่างไร
ผมคิดว่าเรื่องของเป้าหมายของคนเรานั้นเป็นเรื่องที่จะต้องกำหนดให้ ชัดเจนก่อนเลย ว่าเราต้องการจะประสบความสำเร็จอะไร อย่างไร แล้วเราจะเริ่มต้นวางแผนจากเป้าหมายนั้นถอยกลับมาว่า ถ้าเราอยากจะบรรลุเป้าหมายนั้นๆ จริงๆ เราจะต้องทำอะไรบ้าง และทำอย่างไร โดยกำหนดเป็นขั้นตอนให้ชัดเจน
จะว่าไปผมว่าก็เป็นเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่งที่คนเรามักจะไม่ค่อยใส่ใจมาก นัก กล่าวคือ เรามักจะมีเป้าหมาย อยากเป็นโน่น เป็นนี่ อยากจะประสบความสำเร็จอย่างนั้นอย่างนี้ เราทุกคนล้วนมีความฝันที่อยากจะเป็นในสิ่งที่ดีกว่าวันนี้ แล้วเราก็ได้แค่ฝัน เราไม่ยอมตื่นขึ้นมาเพื่อทำฝันของเราให้เป็นจริง ยังคงวนเวียนอยู่ในโลกแห่งความฝัน ว่าสักวันหนึ่งเราจะเป็น จะได้ในสิ่งที่เราฝัน โดยที่เราไม่ได้คิดจะเริ่มลงมือทำอะไรเลย
แต่อุปนิสัยที่ 2 ของ 7 Habits นั้น สอนเราว่า
  • กำหนดภาพเป้าหมายของเราให้ชัดเจน ต้องฝันให้ชัดๆ เลยนะครับ ว่าเราจะต้องการเป็นอะไร บรรลุอะไร เมื่อไหร่ อย่างไร ยิ่งทำให้ภาพเป้าหมายชัดเจนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสร้างพลังและแรงจูงใจให้เราได้มากขึ้นเท่านั้น
  • เริ่มต้นวางแผน และกำหนดขั้นตอนให้ไปตามเป้าหมายที่เราฝันไว้ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ตื่นจากความฝันที่เราวาดไว้ แล้วเริ่มต้นลงมือทำฝันให้เป็นจริงซะ โดยการกำหนดวิธีการแผนงาน และขั้นตอนที่ชัดเจนเพื่อที่จะทำให้เราบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
  • เริ่มต้นลงมือทำทุกวัน ผมว่าข้อนี้คือสิ่งที่สำคัญที่จะทำให้เราไปถึง หรือไม่ถึงเป้าหมายที่เราวางไว้ ก็คือ การเริ่มต้นลงมือทำวันละนิดหน่อย สะสมไปเรื่อยๆ หลายๆ วันเข้าก็จะกลายเป็นความสำเร็จขึ้นมาได้
  • ต้อง Proactive ในทุกข้อที่กล่าวมาข้างต้นจะต้องมีอุปนิสัยที่ 1 ก็คือ Proactive เป็นตัวผลักดันตนเองอยู่เสมอ มิฉะนั้นแล้ว เราก็จะเริ่มกลับมารักความสบายแบบเดิมๆ ใช้ชีวิตแบบเดิมๆ แต่อยากประสบความสำเร็จ ซึ่งมันก็คงจะเป็นไปได้ยาก
         ผมเชื่อว่าคนเราทุกคนล้วนมีความฝันที่เราต้องการ แต่สิ่งที่ต้องถามตัวเองก็คือ ความฝันนั้น เป็นเป้าหมายสูงสุดของเราจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่สิ่งที่เราต้องการแบบว่า ได้ก็ดี ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถ้าเป็นแบบนี้ ก็คือว่าฝันนั้นอาจจะไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดของเรา
คนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างดีนั้น จะต้องไม่ลืมที่จะกำหนดเป้าหมายที่เราต้องการอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นแนวทางของ 7 Habits หรือตำราในการพัฒนาตนเองอื่นๆ ที่เขียนๆ กันในโลกนี้ ล้วนแต่สอนให้เราต้องมีการกำหนดเป้าหมายของเราอย่างชัดเจน
การที่เราไม่มีเป้าหมาย ก็เหมือนกับเราขับรถโดยที่ไม่รู้ว่าจะไปไหน ขับไปเรื่อยๆ วนเวียนไปเรื่อย เปลืองน้ำมันอีกต่างหาก ชีวิตเราก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน เราก็จะใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ วนเวียนไปมาแบบเดิมๆ ซึ่งก็เปลืองเวลาในชีวิตของเราเอง  เป้าหมายมีหลายอย่างครับ ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเรื่องของความร่ำรวยเพียงอย่างเดียวครับ เราอาจจะตั้งเป้าหมายทางด้านการเงิน การทำงาน ครอบครัว ความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ฯลฯ ให้สอดคล้องกับสิ่งที่เราต้องการ
วันนี้คุณมีเป้าหมายในชีวิตของคุณแล้วหรือยังครับ

7 Habits of highly effective people : Be Proactive


บทความจาก Prakal's Blog
           เห็นชื่อบทความวันนี้แล้วไม่ต้องแปลกใจนะครับ สัปดาห์นี้ผมตั้งใจจะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับ 7 อุปนิสัยของคนที่มีประสิทธิผลสูง ของ Stephen R. Covey ซึ่งเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ท่านผู้นี้ถือเป็นอาจารย์ท่านแรกๆ ที่ผมรู้จักในเรื่องของแนวคิดการพัฒนาตนเองในสมัยที่ผมเพิ่งเรียนจบ ผมอ่านหนังสือเล่มนี้จบในช่วงสองถึงสามปีแรกของการทำงาน และได้นำเอาแนวคิดเหล่านี้ไปใช้จริงๆ ในการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัว ใช้บ้าง ลืมบ้าง แต่ก็ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นจริงๆ ก็เลยอยากจะเขียนบทความถ่ายทอดอุปนิสัยทั้ง 7 เพื่อเป็นการไว้อาลัยให้กับ Stephen R. Covey ด้วย ผมเชื่อว่ามีท่านผู้อ่านหลายท่านที่เคยอ่านแล้ว และอาจจะมีบางท่านที่ยังไม่เคยอ่านมาก่อน ก็ถือว่าเป็นการทบทวน และได้ความรู้ใหม่ไปในตัวนะครับ
ผู้เขียนได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า นิสัยทั้ง 7 นี้ ถ้าทำอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้เราเป็นบุคคลที่มีประสิทธิผลสูง ซึ่งจากผลการสำรวจของบริษัทของผู้เขียนเอง จะเห็นว่ามีหลายๆ คนที่สามารถประสบความสำเร็จได้ โดยอาศัยอุปนิสัยทั้ง 7 นี้
อย่างไรก็ดี เมื่อพูดถึงนิสัย แปลว่า เราต้องมีการเปลี่ยนแปลงนิสัยของเราบางอย่าง อะไรที่เป็นสิ่งที่เราเคยชิน และไม่ได้ทำให้เรามีประสิทธิผลสูงขึ้น นิสัยเหล่านี้นก็จะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งการเปลี่ยนนิสัยนี้เป็นสิ่งที่ยากมากทีเดียวครับ แต่ถ้าใครทำได้ นั่นก็คือ เขากำลังที่จะเข้าสู่การเป็นบุคคลที่มีประสิทธิผลสูงนั่นเอง เราลองมาดูนิสัยที่ 1 กันดีกว่าครับว่า Stephen R. Covey เขาว่าอย่างไรบ้าง
อุปนิสัยที่ 1 Be Proactive
ในหลักการของ 7 อุปนิสัยที่กำลังจะเล่าให้อ่านกันนี้ 3 อุปนิสัยแรก จะเป็นการเอาชนะตัวเองก่อน จากนั้นอีก 3 อุปนิสัยถัดมา ถึงเป็นเรื่องการสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น และนิสัยสุดท้ายก็คือ การพัฒนาต่อยอดและการรักษานิสัยทั้งหมดนี้ไว้ให้คงอยู่ตลอดไป
อุปนิสัยแรก ที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Proactive นั้น ผมไม่แน่ใจว่าจะใช้ภาษาไทยว่าอะไร พูดกันง่ายๆ ก็คือ เป็นคนที่ไม่ Reactive ก็คือ ไม่ทำตนลอยไปลอยมาตามสถานณ์ที่พาเราไป คนที่ proactive จะไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างภายนอก แต่เขาจะยืนหยัดในสิ่งที่เขาเห็นว่าถูกต้อง และทำให้เราสามารถควบคุมตนเองได้
นิสัยแรกนี้ ผู้เขียนเขาเปรียบเทียบให้ฟังว่า คนเราที่ต่างกับสัตว์ทั่วไปก็ตรงที่ คนเรานั้นมีสิทธิที่จะเลือกที่จะตอบสนองได้ ไม่เหมือนสัตว์ที่ตอบสนองตามสัญชาติญานเท่านั้น เช่น ถ้าเรานั่งรถติดอยู่ในรถนานๆ เราจะเลือกอารมณ์เสีย พาลด่าคนอื่นไปทั่ว แล้วก็ทำให้เราเองเสียสุขภาพจิตไปด้วย หรือเราจะเลือกที่จะทำให้ตัวเองได้ประโยชน์จากรถที่ติด โดยเลือกคิดในทางบวกมากกว่า เช่น ติดนานๆ ก็ดี จะได้มีเวลาคุยกับแฟนเยอะหน่อย หรือ หาซีดี เรียนภาษาต่างประเทศมาเปิดเพื่อนั่งฟังไปด้วยในขณะที่รถติด ฯลฯ เราสามารถที่จะเลือกตอบสนองต่อสถานณ์การต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ นี่คือตัวอย่างของนิสัยที่ 1 Proactive ครับ
ผมเองคิดเสมอว่านี่คือนิสัยแรกที่เป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จเลยครับ เพราะถ้าเราขาดสิ่งที่เรียกกว่า Proactive ก็จะทำให้เราไม่เปลี่ยนแปลงอะไรในตัวเองเลย ทำอะไรก็เป็นไปตามสถานการณ์พาไป เข้าข่ายที่ว่า “ปล่อยให้ลมพาไป จะพัดพาเราไป จะไปไหนก็แล้วแต่สายลม” นี่คือนิสัยแบบ Reactive ก็คือ ไม่เป็นนายของตัวเอง แต่ให้สิ่งแวดล้อมภายนอกมาเป็นนายของเรา คนแบบนี้จะประสบความสำเร็จได้อย่างไร จริงมั้ยครับ
ผมนั่งนึกถึงนิสัยที่ไม่ Proactive ก็มีดังนี้ครับ
  • อกหัก กินเหล้า ทำร้ายตัวเอง โดยอ้างว่าเสียใจมาก
  • เลือกที่จะเล่นมากกว่าเรียน พอใกล้วสอบก็มาบ่นว่าทำข้อสอบไม่ได้เลย
  • มีคนขับรถปาดหน้า ทนไม่ได้ต้องขับไปปาดกลับให้จงได้ มิฉะนั้นนอนตายตาไม่หลับ
  • สอบไม่ได้ ทำงานไม่สำเร็จ ผลงานไม่ดี ก็ไปโทษฟ้าโทษดิน ปีนี้ปีชงบ้าง ดาวศุกร์เข้าดาวเสาร์แทรก ฯลฯ
ถ้าคนที่มีนิสัยแบบ Proactive จะไม่เลือกที่จะทำให้ตนเองทำอะไรไปตามสถานการณ์ แต่จะเป็นคนที่ควบคุมตนเองเพื่อเอาสถานการณ์นั้นให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง มากกว่าไม่ว่าจะอกหัก หรือ ทำงานไม่สำเร็จ หรืออะไรก็แล้วแต่ คนที่ Proactive จะไม่เลือกที่จะทำร้ายตนเองเป็นอันขาด
เลือกที่จะคิดดี ทำดี ทำให้ตนเองสบายใจ และมีความสุข แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ลำบากสักแค่ไหน ก็เลือกที่จะทำให้ตัวเองสบายใจได้ครับ แบบนี้แหละครับที่เขาเรียกกว่า Proactive
ตัวอย่างอีกเรื่องที่เห็นภาพเลยก็คือ ถ้าเราตั้งเป้าหมายบางอย่างไว้ เราก็ต้องเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อให้ไปสู่เป้าหมายนั้น นิสัยแบบนี้ก็คือ Proactive เช่น ถ้าเราตั้งใจว่าจะลดความอ้วน เราก็จะมีการวางแผนไว้ว่าจะต้องตื่นแต่เช้ามาออกกำลังกาย แต่พอถึงเวลานาฬิกาปลุกตอนเช้าดังขึ้น คนที่ Reactive ก็จะกดทิ้งแล้วก็นอนต่อไป เพราะคิดเอาสบายไว้ก่อนตามที่เคยสบาย แต่ถ้าคนที่ Proactive ก็จะกดทิ้งแล้วลุกขึ้นทันที เพื่อที่จะออกไปออกกำลังกาย เพื่อที่จะได้ลดความอ้วนให้ได้ตามที่เราตั้งเป้าหมายไว้นั่นเองครับ
แล้ววันนี้ คุณเลือกที่จะ Proactive หรือ Reactive ครับ

วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ความสำเร็จเกิดขึ้นได้ทุกวัน




ในการทำงานทุกอย่างย่อมมีการเริ่มต้น สิ่งดีดีไม่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้าเราไม่ลงมือทำ บางคนอาจประสบความสำเร็จตั้งแต่ลงมือทำเป็นครั้งแรก แต่ถ้ามันยังไม่สำเร็จก็คงมีสักครั้งที่เราไปถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าเราได้ลงมือทำอย่างสม่ำเสมอหรือไม่ ในการลงมือทำอย่างสม่ำเสมอกับงานที่ห่างไกลกับความสำเร็จนั้นก็ต้องอาศัยความอดทนเป็นที่ตั้ง เมื่อใดที่เหนื่อยและท้อ จงบอกตัวเองว่าเรายังอดทนไม่พอ

“เป้าหมายที่ยาวไกล ต้องอาศัยความอดทนเป็นที่ตั้ง”

วิธีทำงานที่ได้ประโยชน์ต่อตนเองมากที่สุดคือ ในเวลาการทำงานอย่าเอาใจไปอยู่ที่คนอื่น อย่าเอาใจไปอยู่ที่งาน ให้เอาใจไว้ที่ตัวเอง


เมื่อไหร่ที่เอาใจไปไว้ที่คนอื่น ความพอใจหรือความไม่พอใจย่อมเกิด ก็อาจพาให้งานสำเร็จช้าลง ยิ่งถ้าเกิดการไม่พอใจ นอกจากทำให้เป้าหมายห่างไกลกว่าเดิมแล้ว บางครั้งอาจละทิ้งเป้าหมายนั้นได้ แม้เกิดความพอใจก็ใช่จะดี เพราะความพอใจย่อมเกิดการโอนอ่อนผ่อนตามงานก็อาจเสียได้เช่นกัน

เมื่อไหร่ที่เอาใจไปไว้ที่งาน บางที่เป้าหมายนั้นยังอีกไกลก็อาจท้อได้ ใจที่พะวงอยากไปให้ถึงเป้าหมายไวๆความสนุกในการทำงานก็จะไม่เกิด

การเอาใจไว้ที่ตนเองนั้นจะเป็นการทำงานอย่างมีสติ ยิ่งถ้าเรารู้หลักแล้ว การทำงานทุกงานเป็นการฝึกสติ “สติมาปัญญาเกิด” งานที่ทำด้วยปัญญาจะเกิดข้อผิดพลาดได้อย่างไร งานก้าวหน้าไปถึงไหนก็จะรู้ สติปัญญาจะพาให้งานดำเนินการไปได้ด้วยดี งานจะเสร็จไว ถ้าใจเรามีสติ

วิธีหนึ่งที่ให้ถีงเป้าหมายโดยไวคือลองปรับเปลี่ยนวิธีคิด ปรับเปลี่ยนวิธีทำ ใช้แรงเท่ากันอาจได้งานไม่เท่ากัน บางครั้งเนื้องานอาจเห็นไม่ชัดเจนในรูปธรรม การปรับเปลี่ยนวิธีคิด ปรับเปลี่ยนวิธีทำ ในเวลาเท่ากันเราอาจได้งานมากกว่าเดิม นั่นคือเราก็จะมีเวลาเพิ่มขึ้น เราจะมีเวลาพักผ่อนมากขึ้น มีเวลาชื่นชมธรรมชาติมากขึ้น มีเวลาพักใจมากขึ้น ใจที่ได้หยุกพักจะเกิดความสงบ แล้วความสุขก็จะอยู่ในกำมือของเรา

ในหลายๆครั้งที่เราไม่อาจพบกับความสำเร็จได้โดยไว อย่างที่ใจอยากให้เป็น เป้าหมายที่ตั้งไว้ก็จะเป็นที่มาของความทุกข์ ให้เรามองดูทุกวันของเรา ถ้าเรามีรอยยิ้มในทุกวัน และสามารถทำให้คนรอบข้างยิ้มได้ นั้นแหละเป็นความสำเร็จในชีวิตที่เราคาดไม่ถึง


เป้าหมายเล็กๆของใครบางคน ที่ทำให้คนรอบข้างของตัวเราเองยิ้มได้ทุกวัน ย่อมสูงค่ากว่า เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้คนส่วนใหญ่เสียน้ำตา

หมั่นพิจารณาการกระทำของตนเองให้ดีๆ ในการกระทำของเราหนึ่งครั้ง เราไม่อาจทำให้คนถูกใจคนได้ทุกคน หากแต่ทำให้คนส่วนใหญ่เสียน้ำตาเราจะสามารถแหงนหน้ามองฟ้าได้อย่างเต็มภาคภูมิเช่นนั้นรือ เมื่อรู้ว่าทำแล้วไม่ดี จะหาความดีจากที่ใด ถ้าเราไม่รู้จักเตือนตนเองแล้ว จะไปให้ใครมาเตือน เป็นคนที่รู้จักเตือนตนนั่นแหละดี เพราะบางทีมีคนมาเตือนก็พาลโกรธเขาไปอีก “ความสำเร็จย่อมเกิดกับผู้ที่ลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ” จงเตือนตนเองว่าเราต้องลงมือทำ อย่างสม่ำเสมอ ตั้งเป้าเอาไว้แล้ววางมันลง หัดยิ้มให้กับตนเอง ยิ้มให้กับคนรอบๆตัวเราเสียบ้าง ....เป้าหมายอาจเป็นเพียงกำไร ถ้าเรายิ้มได้ทุกวัน ....

แล้วคุณมองเห็นความสำเร็จของคุณเองในทุกๆวันหรือยัง ถ้ายังไม่เห็นก็จงทำมันเสียเถิด

วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

พูดอย่างไรให้คนรัก/ดร.แพง ชินพงศ์

การติดต่อสื่อสารสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างคนเราด้วยกัน ซึ่งคนเรามักจะติดต่อสื่อสารกันอยู่ตลอดเวลาผ่านทั้งทางการพูด-การฟัง การเขียน-การอ่าน การแสดงกิริยาท่าทาง แต่การติดต่อสื่อสารที่เป็นพื้นฐานที่สุดของคนเราก็คือการพูดและการฟังนั่นเอง การพูดนั้นดูจะเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายๆ แต่การพูดให้คนฟังเกิดความรู้สึกที่ดี ประทับใจ จนสามารถทำให้คนรักหรือรู้สึกมีทัศนคติที่ดีกับเราได้นั้น อาจเป็นเรื่องที่ยากสำหรับใครหลายๆคน ดังนั้น ผู้เขียนจึงขอนำเสนอวิธีว่าควรพูดอย่างไรที่จะทำให้มีแต่คนรัก ดังนี้

1.สร้างภาษากายให้ดูดี

บุคลิกลักษณะมีความสำคัญต่อการสนทนาเป็นอย่างมาก เพราะหากมีบุคลิกลักษณะที่ดีก็ทำให้คนอยากจะร่วมสนทนากับเรา ที่ว่า “ดูดี” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการวางมาด หรือวางท่าทางที่ไม่เป็นธรรมชาติ เพราะคงไม่มีใครที่ชอบคนลักษณะเช่นนี้ แต่การสร้างภาษากายที่ดูดี คือ เวลาสนทนากันควรมีบุคลิกภาพที่ดีเหมาะสม ไม่นั่งกอดอกหรือเอามือล้วงกระเป๋า มองคู่สนทนาด้วยสายตาเป็นมิตร สบตาคู่สนทนาเป็นระยะๆ และไม่มองจ้องหน้าคู่สนทนามากจนเกินไป เพราะจะทำให้เกิดความอึดอัด อีกทั้งไม่ทำสีหน้าบึ้งตึง รำคาญ หรือเบื่อหน่าย รวมถึงควรแสดงออกถึงความสนใจกับคนที่เราพูดคุยด้วยการตั้งใจฟังในสิ่งที่คู่สนทนาพูด โดยการยิ้มรับ พยักหน้า หรือตอบแสดงการรับรู้ว่า “ครับ” หรือ “ค่ะ” โดยพฤติกรรมที่แสดงออกนั้นควรให้เป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ ยังรวมถึงการดูแลรักษาสภาพร่างกายของตัวเองด้วยการแต่งกายที่สะอาด สุภาพเรียบร้อย ก็เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างภาษากายให้ดูดีได้

2.พูดจาสุภาพ

ทุกคนชอบคนที่พูดจาสุภาพอ่อนโยน การพูดจาสุภาพหมายถึงการพูดเพราะ พูดจามีหางเสียงลงท้าย ครับ ค่ะ จ๊ะ จ๋า รวมถึงการไม่พูดจาขัดคอคู่สนทนาและไม่พูดคำหยาบคาย อันนี้สำคัญมาก เพราะคนที่พูดจาหยาบคายนั้นมักเป็นที่รังเกียจของคนส่วนใหญ่ แต่เด็กๆ วัยรุ่นมักชอบพูดคุยกันด้วยคำหยาบเหมือนเป็นเรื่องปกติ บางทีเด็กวัยรุ่นผู้หญิงก็เรียกสรรพนามกันว่ากู - มึง พูดคำด่าคำ ฟังแล้วก็ตกใจ นอกจากนี้ ควรพูดด้วยน้ำเสียงที่พอเหมาะโดยไม่ควรพูดตะเบ็งเสียงดังจนเกินไป อีกทั้งไม่ควรพูดไปหัวเราะไป เพราะนั่นคือการแสดงออกถึงความไม่สุภาพต่อคู่สนทนา

3.พูดชัดถ้อยชัดคำ

เป็นสิ่งสำคัญที่หลายคนอาจมองข้าม แต่แท้ที่จริงแล้วการเป็นคนพูดชัดถ้อยชัดคำคือเสน่ห์ในการพูดอย่างหนึ่ง การพูดชัดถ้อยชัดคำหมายถึง การพูดจาฉะฉานชัดเจนน่าฟัง มีการพูดเน้นจังหวะและเว้นจังหวะที่พอเหมาะ คือ ไม่พูดเร็วและรัวเกินไปจนผู้ฟังตามไม่ทันหรือฟังไม่รู้เรื่อง อีกทั้งไม่พูดช้าเกินไปจนพาให้ง่วงนอน นอกจากนี้ ควรพูดออกเสียงคำควบกล้ำอักขระ ร.เรือ ล.ลิง.ให้ถูกต้องชัดเจนซึ่งควรฝึกตั้งแต่เด็กๆ เพราะเมื่อติดในการพูดไม่ชัดไปจนถึงโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องที่แก้ได้ยากมาก ผู้เขียนเห็นคนที่มีชื่อเสียงบางคนพูด ร.เรือ ล.ลิง หรือพูดคำที่มีตัวอักษร ส.เสือไม่ชัด ทำให้เสียบุคลิกในการพูดเป็นอย่างมาก

4.พูดให้ถูกกาลเทศะ

หมายถึง การที่เราต้องดูว่าเราพูดกับใคร พูดเรื่องอะไร หัวข้ออะไร พูดที่ไหน เป็นการพูดสนทนาแบบกันเองหรือแบบจริงจัง การพูดให้ถูกกาลเทศะต้องคำนึงถึงเนื้อหาสาระในการพูดเป็นหลัก โดยการพูดต้องพูดอย่างมีสาระ มีขอบเขตและเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการสื่อสารกับผู้ฟังว่าอย่างไร และเรื่องอะไร อย่าพูดจาเลอะเทอะเรื่อยเปื่อย เพราะจะทำให้ผู้ฟังเกิดความรำคาญและเบื่อหน่าย นอกจากนี้ สิ่งสำคัญในการพูดที่ถูกกาลเทศะ ก็คือ การพูดให้เหมาะสมกับผู้ฟัง เช่น เมื่อพูดกับคนที่อาวุโสกว่า เราต้องพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพนอบน้อม และคำพูดที่ควรมีให้ติดปากอยู่เสมอคือ “สวัสดี…ขอบคุณ…ขอโทษ”

5.เรื่องที่ไม่ควรพูดเมื่อเจอกับคู่สนทนาเป็นครั้งแรก

- คุยแต่เรื่องของตัวเองมากจนเกินไป ควรให้ความสำคัญกับคู่สนทนาอย่างจริงใจคือเป็นทั้งผู้พูดและผู้ฟังที่ดี

- หัวข้อที่สนทนานั้นควรเริ่มจากเรื่องรอบตัวทั่วๆไป เช่นเรื่องดินฟ้าอากาศ เรื่องสถานที่ท่องเที่ยว เรื่องอาหาร เรื่องเพลง เรื่องภาพยนตร์ เพื่อประเมินความสนใจของคู่สนทนา

- อย่านินทาผู้อื่น อย่าพูดจาก้าวร้าว วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น อีกทั้งไม่ควรพูดจาลามกหรือนำปมด้อยของคู่สนทนาหรือผู้อื่นมาพูด เช่น ตัวอ้วน ตัวดำ หัวล้าน เพราะนอกจากจะไม่ตลกแล้ว ยังทำให้คู่สนทนารู้สึกรังเกียจเราตั้งแต่ครั้งแรกที่มีโอกาสพูดคุยกัน

- อย่าคุยเรื่องส่วนตัว ข้อพึงระวังในการสนทนาครั้งแรก คือการไม่ควรถามซอกแซกในเรื่องส่วนตัวที่ทำให้คู่สนทนาเกิดความรู้สึกเหมือนถูกคุกคามและเกิดความอึดอัดไม่สบายใจ

นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นนี้ การพูดโกหก พูดตลบตะแลง พูดจาส่อเสียด หรือพูดจาสองแง่สามง่าม เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเพราะนอกจากจะไม่มีใครอยากจะสนทนากับเราแล้ว ยังอาจเป็นที่รังเกียจของผู้อื่นจนไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยวด้วยก็เป็นได้ ดังนั้น หากจะพูดสิ่งใดออกไปควรที่จะคิดตรึกตรองเสียก่อนเพื่อที่ว่าสิ่งที่ออกไปจากปากเรานั้นมันไม่สามารถเอากลับคืนมาได้ พูดดีจึงเป็นศรีแก่ตัวและสามารถทำให้คนอื่นประทับใจในตัวเราได้ เหมือนในคำกล่าวที่ว่า “ที่จะตอบให้เหมาะสมก็เป็นความชื่นบานแก่คน คำเดียวที่ถูกกาลเทศะก็ดีจริงๆ” (สุภาษิต15:23)