คำคม

ปัญหามีไว้ให้หาปัญญา อุปสรรคมีไว้ให้ฝึกหาทางออก วันไหนที่มีความสุข วันนั้นอย่าทำความสุขในชีวิตหล่นหาย

วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ความสุขที่ถูกมองข้าม


คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เชื่อว่า ยิ่งมีเงินทองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ความเชื่อดังกล่าวดูเผิน ๆ ก็น่าจะถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ประเทศไทยน่าจะมีคนป่วยด้วยโรคจิตน้อยลง มิใช่เพิ่มมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่รายได้ของคนไทยสูงขึ้นทุกปี ในทำนองเดียวกันผู้จัดการก็น่าจะมีความสุขมากกว่าพนักงานระดับล ่าง ๆ เนื่องจากมีเงินเดือนมากกว่า แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป

ไม่นานมานี้มหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต เขาพูดถึงตัวเองว่า "ชีวิต(ของผม)เริ่มหมดค่าทางธุรกิจ" ลึกลงไปกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย เขาเคยพูดว่า "ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่....มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง" เมื่อเงินหมื่นล้านไม่ทำให้มีความสุข เขาจึงอยู่เฉยไม่ได้ ในที่สุดวิ่งเต้นจนได้เป็นรัฐมนตรี ขณะที่เศรษฐีหมื่นล้านคนอื่น ๆ ยังคงมุ่งหน้าหาเงินต่อไป ด้วยความหวังว่าถ้าเป็นเศรษฐีแสนล้านจะมีความสุขมากกว่านี้ คำถามก็คือ เขาจะมีความสุขเพิ่มขึ้นจริงหรือ ?

คำถามข้างต้นคงมีประโยชน์ไม่มากนักสำหรับคนทั่วไป เพราะชาตินี้คงไม่มีวาสนาแม้แต่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็คงตอบคำถามที่อยู่ในใจของคนจำนวนไม่น้อยได้บ้างว่า ทำไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้งบิล เกตส์ จึงไม่หยุดหาเงินเสียที ทั้ง ๆ ที่มีสมบัติมหาศาล ขนาดนั่งกินนอนกินไป ๗ ชาติก็ยังไม่หมด

แต่ถ้าเราอยากจะค้นพบคำตอบให้มากกว่า นี้ ก็น่าจะย้อนถามตัวเองด้วยว่า ทำไมถึงไม่หยุดซื้อแผ่นซีดีเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับหมื่นแผ่น ทำไมถึงไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วเกือบพันตัว ทำไมถึงไม่หยุดซื้อรองเท้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับร้อยคู่
แผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนฟังทั้งชาติก็ยังไม่หมด ในทำนองเดียวกัน เสื้อผ้า หรือรองเท้า ที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนก็เอามาใส่ไม่ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ้ำ มีหลายตัวหลายคู่ที่ซื้อมาโดยไม่ได้ใช้เลย แต่ทำไมเราถึงยังอยากจะได้อีกไม่หยุดหย่อน


ใช่หรือไม่ว่า สิ่งที่เรามีอยู่แล้วในมือนั้นไม่ทำให้เรามีความสุขได้มากกว่าส ิ่งที่ได้มาใหม่ มีเสื้อผ้าอยู่แล้วนับร้อยก็ไม่ทำให้จิตใจเบ่งบานได้เท่ากับเสื ้อ ๑ ตัวที่ได้มาใหม่ มีซีดีอยู่แล้วนับพันก็ไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับซีดี ๑ แผ่นที่ได้มาใหม่ ในทำนองเดียวกันมีเงินนับร้อยล้านในธนาคารก็ไม่ทำให้รู้สึกปลาบ ปลื้มใจเท่ากับเมื่อได้มาใหม่อีก ๑ ล้าน

พูดอีกอย่างก็คือ คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได้ มากกว่าความสุขจากการ มี มีเท่าไรก็ยังอยากจะได้มาใหม่ เพราะเรามักคิดว่าของใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่ม ีอยู่เดิม

บ่อยครั้งของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่เพียงเพราะว่ามันเป็นของใหม่ ก็ทำให้เราดีใจแล้วที่ได้มา
จะว่าไปนี่อาจเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่กับสัตว์หลายชนิดไม่เฉพาะแ ต่มนุษย์เท่านั้น ถ้าโยนน่องไก่ให้หมา หมาก็จะวิ่งไปคาบ แต่ถ้าโยนน่องไก่ชิ้นใหม่ไปให้ มันจะรีบคายของเก่าและคาบชิ้นใหม่แทน ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองชิ้นก็มีขนาดเท่ากัน ไม่ว่าหมาตัวไหนก็ตาม ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่าสนใจเท่ากับของใหม่ที่ได้มา

ถ้าหากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริง ๆ เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี แต่ปัญหาก็คือของใหม่นั้นไม่นานก็กลายเป็นของเก่า และความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป ผลก็คือกลับมารู้สึก "เฉย ๆ" เหมือนเดิม และดังนั้นจึงต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่าเดิม แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม เป็นเช่นนี้ไม่รู้จบ น่าคิดว่าชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขจริงหรือ ?


เพราะไล่ล่าแต่ละครั้งก็ต้องเหนื่อย ไหนจะต้องขวนขวายหาเงินหาทอง ไหนจะต้องแข่งกับผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ครั้นได้มาแล้วก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ ไม่ให้ใครมาแย่งไป แถมยังต้องเปลืองสมองหาเรื่องใช้มันเพื่อให้รู้สึกคุ้มค่า ยิ่งมีมากชิ้นก็ยิ่งต้องเสียเวลาในการเลือกว่าจะใช้อันไหนก่อน ทำนองเดียวกับคนที่มีเงินมาก ๆ ก็ต้องยุ่งยากกับการตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวลอนดอน นิวยอร์ค เวกัส โตเกียว มาเก๊า หรือซิดนีย์ดี

ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว ชีวิตจะยุ่งยากน้อยลงและโปร่งเบามากขึ้น อันที่จริงความพอใจในสิ่งที่เรามีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่เป็นปัญหาก็เพราะเราชอบมองออกไปนอกตัว และเอาสิ่งใหม่มาเทียบกับของที่เรามีอยู่ หา ไม่ก็เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เมื่อเห็นเขามีของใหม่ ก็อยากมีบ้าง คงไม่มีอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ได้บ่อยครั้งเท่ากับการชอบเปรียบ เทียบตัวเองกับคนอื่น การเปรียบเทียบจึงเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใคร ๆ ก็นิยมใช้กัน

นิสัยชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น ทำให้เราไม่เคยมีความพอใจในสิ่งที่ตนมีเสียที แม้จะมีหน้าตาดี ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่สวย เพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดาราหรือพรีเซนเตอร์ในหนังโฆษณา

การมองแบบนี้ทำให้ "ขาดทุน" สองสถาน คือนอกจากจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ยังเป็นทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่อยาก พูดอีกอย่างคือไม่มีความสุขกับปัจจุบัน แถมยังเป็นทุกข์เพราะอนาคตที่พึงปรารถนายังมาไม่ถึง ไม่มีอะไรที่เป็นอุทธาหรณ์สอนใจได้ดีเท่ากับนิทานอีสปเรื่องหมา คาบเนื้อ คงจำได้ว่า มีหมาตัวหนึ่งได้เนื้อชิ้นใหญ่มา ขณะที่กำลังเดินข้ามสะพาน มันมองลงมาที่ลำธาร เห็นเงาของหมาตัวหนึ่ง (ซึ่งก็คือตัวมันเอง) กำลังคาบเนื้อชิ้นใหญ่ เนื้อชิ้นนั้นดูใหญ่กว่าชิ้นที่มันกำลังคาบเสียอีก ด้วยความโลภ (และหลง) มันจึงคายเนื้อที่คาบอยู่ เพื่อจะไปคาบชิ้นเนื้อที่เห็นในน้ำ ผลก็คือเมื่อเนื้อตกน้ำ ชิ้นเนื้อในน้ำก็หายไป มันจึงสูญทั้งเนื้อที่คาบอยู่และเนื้อที่เห็นในน้ำ

บ่อเกิดแห่งความสุขมีอยู่กับเราทุกคนในขณะนี้อยู่ แล้ว เพียงแต่เรามองข้ามไปหรือไม่รู้จักใช้เท่านั้น เมื่อใดที่เรามีความทุกข์ แทนที่จะมองหาสิ่งนอกตัว ลองพิจารณาสิ่งที่เรามีอยู่และเป็นอยู่ ไม่ว่า มิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ ทรัพย์สิน รวมทั้งจิตใจของเรา ล้วนสามารถบันดาลความสุขให้แก่เราได้ทั้งนั้น ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม รู้จักมอง และจัดการอย่างถูกต้องเท่านั้น

แทนที่จะแสวงหาแต่ความสุขจาก การได้ ลองหันมาแสวงหาความสุขจากการ มี หรือจากสิ่งที่ มี ขั้นต่อไปคือการแสวงหาความสุขจากการ ให้ กล่าวคือยิ่งให้ความสุข ก็ยิ่งได้รับความสุข สุขเพราะเห็นน้ำตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม และสุขเพราะภาคภูมิใจที่ได้ทำความดีและทำให้ชีวิตมีความหมาย จากจุดนั้นแหละก็ไม่ยากที่เราจะค้นพบความสุขจากการ ไม่มี นั่นคือสุขจากการปล่อยวาง ไม่ยึดถือในสิ่งที่มี และเพราะเหตุนั้น แม้ไม่มีหรือสูญเสียไป ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้
เกิดมาทั้งที น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการ ให้ และ การ ไม่มี เพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็นและยั่งยืนอย่างแท้จริง




พระไพศาล วิสาโล

ทำใจเป็นกลาง...

ทุกอย่างมันมีความเป็นไปตามธรรมชาติของมันอยู่แล้ว ไม่มีเรื่องบังเอิญ ต้องมีเหตุ จึงจะมีผลตามมา และการติดตามของผลก็เนื่องมาจากเหตุที่เราได้ก่อไว้ ทั้งรู้ตัว และไม่รู้ตัว...

พอเหตุมันสะสมจนถึงระดับหนึ่ง มันก็ปลดปล่อยผลออกมาตามธรรมชาติ หากเราปรุ่งต่อ แต่งต่อ ก็เหมือนกับการเติมเชื้อเข้าไปไม่สิ้นสุด จนผลมันเปลี่ยนแปลงรูปร่าง บางครั้งจำต้นตอไม่ได้เลยทีเดียว...

หากเราไม่ยึดมั่นถือมั่น เมื่อเกิดผลตามธรรมชาติ เราไม่ยึดถือ มันก็จะจางไป หมดไปเอง แต่หากเรายึดถือเอาเป็นของตัว "ความรู้สึก" ในใจเราก็จะก่อตัวขึ้นทันที...

เวลาที่ความรู้สึกก่อตัวขึ้น เราก็อาจตกเป็นทาสของความรู้สึกได้ง่ายๆ ความรู้สึกโกรธ เกลียด เคียดแค้น จะสั่งให้เราทำอะไรก็ด้ สั่งให้เราไปท้าตีท้าต่อย สั่งให้เราไปฆ่า หรือทำร้ายใครก็ได้ เราตกเป็นทาสของมันอย่างสิ้นเชิง...

แต่หากเราไม่ยึดมั่นถือมั่น "ความรู้สึก" ก็คงอยู่ไม่ได้ หรืออยู่ไม่ได้นาน มันก็จางหายไปเองตามธรรมชาติ ตามความเป็นไป...

เหมือนมือที่ว่างเปล่า ไปคว้าเอาสิ่งของไว้ย่อมหนักเป็นธรรมดา...

ยึดมาก ก็ทุกข์มาก
ยึดน้อย ก็ทุกข์น้อย
ไม่ยึด ก็ไม่ทุกข์...



ขอขอบคุณ:http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=greenpluss&month=18-04-2012&group=22&gblog=121

►► Stop dying and start living ◄◄

* ...จินตนาการนับเป็นของแพงและหายากพอ ๆ กับความสุข เพราะเงินมากแค่ไหน ก็หาซื้อไม่ได้และเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่มีใครแย่งเราไปได้
* ...การได้ทำอะไรด้วยตนเองบ้าง มันจะทำให้เราอยู่ติดกับความเป็นมนุษย์ และรู้สึกตัวว่าอยู่ติดโลกติดดินมากยิ่งขึ้น
* เราเลือกที่จะงดงามและแตกต่างได้ แต่ความงดงามที่แตกต่างของเรา มันจะมองเห็นและเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อเรากล้าเริ่มต้นและเอาจริงกับมัน
* รอยยิ้มของเราอาจจะทำให้วันนี้ของใครบางคนมีค่ามากยิ่งขึ้น...
* ...อยู่ใกล้และเรียนรู้จากคนที่แก่กว่า เขามองเห็นบางอย่างที่เราไม่เคยเห็น เข้าใกล้และให้เวลากับเด็กที่อ่อนวัยกว่า เขารู้จักและมองเห็นบางอย่างที่เราไม่เคยเปิดใจมองเห็น
* เรียนรู้และหาบทเรียนจากคนอื่นบ้าง เราไม่จำเป็นต้องเจ็บด้วยตัวเองเพื่อบทเรียนเสมอไป
* แค่ไม่ยึด (กับอะไร) ก็ไม่ติด (กับอะไร) แล้ว
* มีมุขบ้าง เล่นตลกบ้าง ยอมเป็นตัวตลกบ้าง แต่ไม่จำเป็นต้องเสียความเป็นตัวของตัวเองไป เพื่อให้ใครต่อใครหัวเราะ
* เมื่อบอกว่า "ไม่มีเวลา" ก็จะไม่มีเวลา เมื่อบอกว่า "ไม่ศรัทธา" ใจก็ไม่เปิด เมื่อไรที่หัวใจบอกว่า "ไม่" ต่อให้ทำดีแค่ไหน ใจหมอง ๆ ก็มองไม่เห็น

* "เข้าใจอดีต อยู่กับปัจจุบัน และพร้อมที่แตกต่างเพื่อวันข้างหน้า"
* จำไม่ได้ว่าเมื่อวานนี้เคยทำดีแค่ไหน ไม่อยากรู้ว่าวันพรุ่งนี้จะดีกว่าอย่างไร แต่วันนี้ "วัน" ในกำมือต้องทำมันให้ดีที่สุด
* โลกของวันพรุ่งนี้ อยู่ในมือของคนที่กล้าเปลี่ยนแปลงในวันนี้
* แบ่งปันเรื่องดี ๆ อย่าให้มันหยุดไว้แค่เรา ส่งต่อเรื่องดี ๆ อย่าให้มันตายไปกับเรา
* ...หนังสือของนักอ่านจะไม่มีค่าเลย ถ้ามันไม่ถูกส่งต่อ...
* ในเวลาที่ชีวิตเจอแต่เรื่องแย่ ๆ เราต่างไม่ต้องการคนฉลาดไว้คอยปลอบใจ เราเพียงต้องการใครก็ได้สักคนที่พร้อมจะรับฟัง ไม่ต้องการคำแนะนำที่ดี ไม่ต้องการคนช่วยเหลือทางออกที่ดีที่สุด แค่ต้องการใครสักคนหนึ่งที่รับฟัง
* ...เขาจะเริ่มแหกกฏที่มีก็ต่อเมื่อเขารู้สึกไม่เห็นด้วยกับกฎที่เคยมี
* บางอย่าง บางเรื่อง และสำหรับบางคน แค่รอให้ถึงวันพรุ่งนี้ก็สายไปเสียแล้ว
* Do Something For Nothing
ขอขอบคุณ : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=athena-th&month=02-2008&date=07&group=19&gblog=4