คำคม

ปัญหามีไว้ให้หาปัญญา อุปสรรคมีไว้ให้ฝึกหาทางออก วันไหนที่มีความสุข วันนั้นอย่าทำความสุขในชีวิตหล่นหาย

วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555

คติสอนใจ - น้ำเต็มเเก้ว!!! เว้นว่าง...เพื่อเติมเต็ม!!!

ตั้งแต่เกิดมา แก้วน้ำได้ออกเดินทางไปเรื่อยๆ
ระหว่างทางก็มีคนคอยเติมน้ำให้อยู่เสมอ
จนวันหนึ่ง….น้ำจึงเต็มแก้วน้ำ
...
วันเวลาผันผ่าน แก้วน้ำได้ไปยังสถานที่ต่างๆ
พบสิ่งที่น่าสนใจมากมาย หลากหลาย
แก้วน้ำบางใบ เลือกจะเดินทางต่อไป
โดยปล่อยให้น้ำเต็มแก้วอยู่อย่างนั้น
เพราะคิดว่าการแวะถ่ายเทและเติมน้ำใหม่นั้น
เป็นการเสียเวลาและไร้ประโยชน์
...
แต่แก้วน้ำของเราใบนี้ เลือกที่จะแบ่งปันน้ำให้ผู้อื่น
เขาแบ่งน้ำให้ต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาอยู่ข้างทาง
และแบ่งให้กระต่ายน้อยที่หิวกระหาย
ดีกว่าการปล่อยน้ำให้ระเหยไปอย่างไร้ค่า
...
แก้วน้ำเดินทางเพื่อค้นหาและรับน้ำใหม่เสมอ
น้ำที่ได้รับนั้น บางครั้งเป็นน้ำค้างบริสุทธิ์จากยอดหญ้า
บางคราวก็เป็นน้ำฝนจากฟากฟ้า
บางครั้งเป็นน้ำขุ่นที่มีตะกอน
แก้วน้ำก็ต้องรับโดยผ่านการกลั่นกรองเสียก่อน
บางครั้งเป็นน้ำเน่าเสีย แก้วน้ำก็รู้จักที่จะปฏิเสธ
บางครั้งมีผู้รินน้ำให้ บางครั้งต้องตักเอาเองจากแม่น้ำ
บางครั้งก็ต้องรับน้ำจากต้นไม้อีกทอดหนึ่ง
...
แม้การถ่ายเทและรับน้ำใหม่อยู่เรื่อยๆนั้น
จะทำให้เหนื่อยอยู่บ้าง แต่แก้วน้ำ ก็รู้ดีว่า
เส้นทางของเขานั้น ยังอีกยาวไกล
ต้องพบแหล่งน้ำอีกหลากหลาย เจอสิ่งต่างๆอีกมากมาย
แม้ในชีวิตหนึ่ง แก้วน้ำยังมีหลายสิ่งที่ต้องทำ
แต่สิ่งที่เขาจะไม่หยุดทำเลย ก็คือ
การทำตัวเป็นแก้วน้ำ ที่พร้อมจะรองรับน้ำอยู่เสมอ
เพื่อให้การเดินทางครั้งนี้มีคุณค่า
รู้จักหารู้จักรับ….และ เว้นที่ว่าง เพื่อเติมเต็ม
……
เรื่องน้ำเต็มแก้ว น้ำครึ่งแก้ว หรือ น้ำไม่เต็มแก้วนั้น
เราคงได้รู้ ได้เห็น และได้อ่าน กันมาบ้างแล้ว
หลายคน เปรียบเสมือนน้ำที่เต็มจนล้นแก้ว
ไม่พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ยึดติดกับสิ่งเดิม
ยึดมั่นถือมั่น จนบางครั้ง ทำให้เป็นคนเห็นแก่ตัว
ไม่ก้าวหน้า หรือ เจริญเติบโตในหน้าที่การงาน
แต่อีกมากมายหลายคน แม้น้ำจะเต็มแก้วแล้ว
เขาก็จะถ่ายน้ำออก ด้วยการแบ่งปันให้ผู้อื่น
และเติมน้ำใหม่ ด้วยการเรียนรู้จากผู้อื่น เช่นกัน
คนเราไม่มีใครดีพร้อม เก่งหรือดีไปเสียทุกด้าน
ด้านไหนที่เราเก่ง หรือ เราทำได้ดี
ก็ควรต้องแนะนำหรือแบ่งปันความรู้ให้ผู้อื่น
ส่วนด้านใดที่เรายังไม่เก่ง หรือ ยังทำไม่ได้ดี
ก็ต้องหมั่นศึกษาเรียนรู้จากผู้อื่นเพื่อพัฒนาตนเอง
รู้จักให้รู้จักรับรู้จักแบ่งปัน
เพียงเท่านี้ สังคมของเรา ก็จะเต็มไปด้วย
แก้วน้ำที่มีคุณภาพคับแก้วแล้ว
ขอบคุณบทความ:http://www.oknation.net/blog/kritwat/2012/05/21/entry-1

"ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน"

เป็นหนังสือที่อยากแนะนำให้อ่าน..."ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน" หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า "The Alchemist"
 เขียนโดย..."เปาโล โคเอโย" และถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาไทยโดย..."อ.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์"



       นวนิยายเรื่องนี้...เป็นเรื่องราวการเดินทางของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นเพียง "เด็กเลี้ยงแกะ" หากเขาคิดจะยึดอาชีพนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็อาจจะทำให้เขาดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างราบเรียบ-เป็นปกติสุขเช่นเดียวกับเด็กเลี้ยงแกะอีกหลายต่อหลายคน ทว่า...เมื่อวันนึงเขาเริ่มฝันถึงสมบัติที่อยู่ห่างไกลออกไป เด็กหนุ่มผู้มีหัวใจของการเป็น "นักแสวงหา" อย่างเต็มเปี่ยม ก็ตั้งใจมั่นที่จะออกค้นหาสมบัตินั้น แม้จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสมบัติดังกล่าวจะมีอยู่จริงหรือไม่ คำทำนายของหมอดูจะเชื่อได้หรือไม่ 
        รวมทั้งตลอดเส้นทางที่ (เขาเชื่อว่าจะ...) ไปสู่ขุมสมบัตินั้น เขาต้องแลกกับการสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป แต่เขากลับเห็นว่า สิ่งที่เขาสูญเสียไป (ในที่นี้คือฝูงแกะ-อาชีพเลี้ยงแกะ) นั้น เป็นสิ่งที่เขาสามารถกลับมาทำมันได้อีกทุกเมื่อ ส่วนสมบัติที่เขาจะไปค้นหา นั่นแหละคือสิ่งที่เขาไม่มี
 และถ้าไม่ลองออกไปหาดู ก็จะไม่มีวันรู้ว่ามันมีอยู่จริงหรือไม่!
 แล้วความฝันก็อาจจะยังคงเป็นความฝันอยู่วันยันค่ำ
 ทันทีที่เริ่มก้าวเท้าออกเดินไปสู่เส้นทางที่ไม่คุ้นชิน อุปสรรคต่างๆ ก็ถาโถมกันเข้ามาทดสอบความตั้งใจ แต่เด็กหนุ่มก็พร้อมเผชิญ และพร้อมเสมอที่จะเอาต้นทุนที่เขามีอยู่เข้าแลกกับมัน
 "ในการเดินทางสู่ชะตากรรม ทุกสิ่งในจักรวาลจะร่วมกันช่วยให้เราประสบความสำเร็จ" นี่คือประโยคทอง...ที่เปรียบเสมือนเข็มทิศในการเดินทางเพื่อบรรลุฝันของเขา ทุกครั้งที่เขาเจอปัญหา-อุปสรรคเขาจะนึกถึงมัน ในเรื่องมันเป็นประโยคที่ผ่านออกมาจากปากของตัวละครตัวหนึ่ง-"ราชาผู้ชรา" และตลอดการเดินทางคำพูดต่างๆ ของราชาผู้ชราจะติดตามเด็กหนุ่มไปทุกหนทุกแห่ง
 ระหว่างการเดินทางนั้น เขามักจะได้พบเจอกับผู้คนที่หลากหลาย และหลายคนที่เขาเจอมักจะเป็นคนประเภทที่มีความเชื่อว่า "ทุกอย่างถูกลิขิตไว้แล้ว" ดังนั้น คนเหล่านั้นจึงไม่ค่อยยอมที่จะพบกับความเปลี่ยนแปลงใดๆ
 นอกจากความมุ่งมั่นตั้งใจที่เป็นลักษณะเด่นของเด็กหนุ่มแล้ว ความช่างสังเกตและใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ รอบข้างก็เป็นลักษณะเด่นของเขา ซึ่งมันทำให้เขาสามารถเข้าถึง-เข้าใจโลกได้ดีกว่าชายคนหนึ่งที่แม้จะมีความมุ่งมั่นในการออกค้นหา "นักแปรธาตุ" แต่การที่เขามัวแต่ยึดทฤษฎี และเรียนรู้แต่เพียง "กระพี้" จึงไม่อาจเข้าถึง "แก่นแกน" ของสรรพสิ่งในโลกได้
 "จงหัดอ่านลาง แล้วเดินตามวิถีแห่งลางนั้น" นี่เป็นอีกหนึ่งคำแนะนำของราชาผู้ชรา และแน่นอนว่าเด็กหนุ่มยินดีที่จะเดินตามคำแนะนำนี้
 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะดูเหมือนนักเสี่ยงโชค แต่การตัดสินใจของเขามักจะมีเหตุผลเข้ามาประกอบ เห็นได้จากเขาใช้หิน 2 ก้อนที่ได้มา ซึ่งเรียกว่า "อูริม" กับ "ธุมมิน" (เป็นหินสำหรับเสี่ยงทายว่า "ใช่" กับ "ไม่ใช่") เพียงครั้งเดียวเท่านั้น นอกจากนั้นเขาจะใช้วิธีอ่านลาง และตัดสินใจด้วยตัวเองเป็นส่วนใหญ่
 ทั้งนี้ นอกจากตัวเด็กหนุ่มที่มีความมุ่งมั่นแล้ว ยังมีตัวละครที่น่าสรรเสริญ และถือได้ว่ามีส่วนสำคัญทำให้การค้นหาสมบัติของเด็กหนุ่มดำเนินไปได้ ก็คือ พ่อ-แม่ที่เคารพในการตัดสินใจของลูกที่ขอเลือกวิถีชีวิตด้วยการเป็นเด็กเลี้ยงแกะในเบื้องต้น โดยแทนที่จะทัดทาน เพราะครอบครัวก็มีอาชีพอยู่แล้ว พ่อของเด็กหนุ่มกลับให้การสนับสนุนด้วยการซื้อแกะให้ ขณะที่หญิงสาวคนรักที่เขาได้พบเจอระหว่างการเดินทางและเข้าไปพักที่ "โอเอซิส" นั้น หล่อนก็เป็นหญิงสาวแห่งยุคสมัยใหม่ที่ไม่คิดจะกีดกันหรือฉุดรั้งความฝันของเด็กหนุ่มเอาไว้ ในทางกลับกันหญิงสาวส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กหนุ่มเดินทางต่อไปเพื่อบรรลุสิ่งที่ตั้งใจ ไม่ได้มัวลุ่มหลงอยู่แค่ลาภ ยศ สรรเสริญที่อาจจะสิ้นไปได้ในสักวัน ซึ่งเด็กหนุ่มได้รับในขณะที่อยู่ในโอเอซิสนั้น
       ที่เล่ามาออกจะยืดยาวไปหน่อย...และนี่เป็นเพียงแง่มุมที่มองเห็นจากการอ่าน "ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน" มันเป็นเพียง "ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน" ในทัศนะของผมเท่านั้น แต่มันจะเป็น "ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน" ของคนอื่นอย่างไร...ผมคงไม่อาจทราบได้...และใครก็คงไม่อาจทราบของคนอื่นๆ ได้
 เพราะวิถีการค้นหา "ขุมทรัพย์" มันจะเป็นแบบ...ของใครของมัน!!! ลองอ่านดูนะครับ...

แรงบันดาลใจจากอดีตคนไม่เอาไหนที่เป็นตำนานของโลก!!!

ชายคนหนึ่ง เพิ่งพูดได้ตอนอายุ 4 ขวบ
อ่านหนังสือออก ตอนอายุ 8 ขวบ
เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน
เคยถูกอาจารย์ระบุว่า
สมองช้า ไม่ชอบสังคมและล่องลอย
อยู่ในความฝันอันโง่เขลาของตนตลอดเวลา!!
ชายคนนั้น..ชื่อ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
บิดาแห่งปรมาณู…
……
ชายคนหนึ่ง สอบตกตอนอยู่ประถม6
เคยมีชีวิตที่พ่ายแพ้ ล้มเหลวมาตลอด!!
ได้ทำประโยชน์ก็เมื่อเป็นผู้สูงอายุแล้ว
ชายคนนั้น..ได้เป็นนายกรัฐมนตรี อายุ 62 ปี
ชายคนนั้น..ชื่อ วินสตัน เชอร์ชิล
อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ
…….
ชายคนหนึ่ง เป็นนักร้อง
เขาเคยถูกผู้จัดการแกรนด์โอเลโอเพรย์ไล่ออก!!
เคยโดนดูถูกว่า แกมันไปไม่ถึงไหนเลย
ควรกลับไปขับรถบรรทุกมากกว่า
ชายคนนั้น…ชื่อ เอลวิส เพรสลีย์
ตำนานนักร้องชื่อก้องโลก...
…………..
ชายคนหนึ่งตอนเรียนปริญญาตรี
เคยถูกจัดให้เป็นแค่นักศึกษาระดับกลางเท่านั้น
เคยสอบได้อันดับ15 จาก 22 คนในวิชาเคมี
ชายคนนั้น…ชื่อ หลุยส์ ปาสเตอร์
นักเคมีและนักจุลชีววิทยาผู้ทำคุณประโยชน์แก่โลก
…………
ชายคนหนึ่งถูกปฏิเสธจากโรงเรียนเตรียมทหาร
เวสต์พอยต์ถึงสองครั้งสองครา
ด้วยความพยายามไม่ท้อถอย จนครั้งที่สาม
เขาถึงได้เข้าเรียนและเป็นนายทหารสมใจ
ชายคนนั้น…ชื่อ นายพลดักลาส แมคอาเธอร์
ผู้พิชิตแปซิฟิกแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง
…………
นี่แหละครับ เรื่องราวบางมุมของผู้ที่แข็งแกร่ง
ผู้ที่ประสบความสำเร็จและสร้างชื่อเสียงแก่โลก
ที่เป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของเราได้
จริงๆยังมีอีกเป็นร้อยเป็นพันตัวอย่างของคนเก่ง
บิลล์ เกตส์, วอเรน บัฟเฟ่ต์, สตีฟ จ็อบส์
ผู้พันแซนเดอร์ หรือแม้แต่  ซูซาน บอยล์ และอีกมากมาย
เส้นทางเดินของผู้ที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้
ไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบแต่อย่างใด
บางคนต้องพยายามเกือบทั้งชีวิต
จึงจะพบกับความสำเร็จในท้ายที่สุด
หรือบางคนต้องอดทนในการทำอะไรสักอย่าง
จนถึงจุดหนึ่งจึงจะประสบความสำเร็จ
ไม่มีของง่ายในโลกนี้ และไม่มีอะไรสำเร็จ
โดยไม่ต้องออกแรง โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม
(แม้จะมีข้อยกเว้นแต่ก็เป็นส่วนน้อย)
และไม่สำคัญว่า เรามาจากไหน มีอะไรแค่ไหน
แต่สำคัญที่ว่า เราจะไปที่ใด และเราต้องการอะไร
เดินไปอย่างมีเป้าหมาย…ดีกว่าเดินไปอย่างไร้จุดหมาย
ท้อเมื่อใด ล้มเมื่อใด ไม่ต้องโทษใครแม้แต่ตนเอง
แต่ให้รีบลุกขึ้นมาให้ไว เรียนรู้และเดินต่อไป
เพราะว่า..วันพรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้…..
ขอบคุณบทความจาก: http://www.oknation.net/blog/kritwat/2012/10/19/entry-1

เพื่อเป้าหมายที่ต้องการ!!เราต้องเสียอะไรไปบ้าง?? ชั่งน้ำหนักกันให้ดี!!

การงาน การเงิน ทรัพย์สิน ครอบครัวและความสุข
เป็น 5 สิ่งสำคัญในการใช้ชีวิตของคนเรา
แน่นอนว่า  เกือบทุกคนต้องการทั้งหมด
หลายคนจัดสมดุลย์ชีวิตกับเป้าหมายเหล่านี้ได้ดี
มีฐานะดี มีการงานที่มั่นคงก้าวหน้า
มีการเงินที่คล่องตัว ไม่เป็นหนี้เป็นสิน
มีครอบครัวที่อบอุ่น มีแฟน มีลูกที่น่ารัก
มีเวลาในการหาความสุขให้กับตนเอง
และมีเวลาใช้ชีวิตกับครอบครัวคนรอบข้าง
แต่เชื่อว่ายังมีคนอีกเป็นจำนวนมาก
ที่ยังมีปัญหากับการจัดสมดุลย์ในเรื่องเหล่านี้
กับเป้าหมายที่เราต้องการในชีวิตของเรา
เราจึงยังเห็นคนหลายคนที่มีรายได้สูง
มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดี
แต่มีหนี้สินพะรุงพะรังจากการใช้จ่าย
การก่อหนี้เกินตัว การสร้างภาระ
ทั้งผ่อนบ้าน ผ่อนรถ จนรายได้ส่วนหนึ่ง
กลายเป็นดอกเบี้ยให้กับนายทุนทั้งหลาย
เรียกได้ว่า ทำเท่าไหร่ก็จ่ายดอกเบี้ยหมด
หรือบางคนที่แม้มีเงินทองมากมาย
แต่หาความสุขในครอบครัวแทบไม่ได้
บางคนมีครอบครัวที่อบอุ่น มีลูกที่น่ารัก
แต่เริ่มมีปัญหาเรื่องการงาน การเงิน
หรือหลายคนที่มีตำแหน่งที่ดี มีรายได้ดี
แต่ยังมีปัญหาทางด้านครอบครัว
เพราะมุ่งเน้นกับการทำงานอย่างหักโหม
เคร่งเครียดจนเกิดความกดดันกับตนเอง
คนรัก ครอบครัว และคนรอบข้าง
หรือทำงานหนัก ไม่มีเวลาหาความสุขใส่ตน
ในแต่ละวัน จนชีวิตแห้งแล้ว เหี่ยวเฉาก็มี
บางครั้งบางที ฐานะ, การงาน, การเงิน
ครอบครัวและความรัก ไม่ได้มาพร้อมกัน
เราต้องก่อร่างสร้างขึ้นมาทีละอย่างสองอย่าง
กว่าจะสมบูรณ์หรือมีครบตามเป้าหมายของเรา
และแม้บางครั้งเราสร้างขึ้นมาแล้ว ทำขึ้นมาแล้ว
พอได้อย่างหนึ่งแต่ต้องเสียอีกอย่างหนึ่งไป
ก็มีให้เห็นถมเถไปในชีวิตของมนุษย์เรา
เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ไม่จีรังยั่งยืนอะไร
..........................
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เราทำได้
เราสร้างได้ หากเราวัดระดับความต้องการของเรา
รู้จักพอ รู้จักความเหมาะสม นั่นคือความสุข
ซึ่งบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องรอให้เราพร้อมทุกด้าน
ทั้งการงาน การเงิน ความรัก ครอบครัว หรือฐานะ
เราจึงจะมีความสุข แต่เราสร้างความสุขได้
ตั้งแต่นาทีนี้วันนี้ และทุกๆวันในชีวิตของเรา
จะดีกว่าไหมครับ ถ้าเป้าหมายเรายังอยู่
เรายังต้องทำตามเป้าหมายของชีวิตเราต่อไป
เพียงแต่ในขณะที่เราทำตามเป้าหมายนั้น
เรามีความสุขและมีสมดุลย์ในการใช้ชีวิตด้วย
หากเป้าหมายบางเป้าหมายลดทอนความสุข
เราก็อาจต้องเลือกตัดบางเป้าหมายออกไปบ้าง
เพราะในความเป็นจริง ไม่มีใครได้ทุกสิ่ง
ไม่มีใครได้ทุกอย่างที่ต้องการ แต่ไม่ใช่เพราะว่า
เราไม่มีทาง ไม่มีความสามารถจะทำได้
เพียงแต่เพราะว่าความต้องการของมนุษย์
อย่างเราๆนั้นไม่มีที่สิ้นสุดนั่นเอง….
ขอบคุณบทความจาก : http://www.oknation.net/blog/kritwat/2012/11/19/entry-1

5 อันดับวันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของคนเรา!!!

ว่ากันว่าชีวิตคนเรานั้น ยิ่งแก่ยิ่งแกร่ง
บางคนบอกว่า ไม่ใช่แกร่งเพราะเรื่องดีๆ
แต่แกร่งเพราะเรื่องเลวร้ายที่เข้ามาในชีวิตเรานั่นเอง
แน่นอนว่า เรื่องดีๆทำให้เรามีความสุข
แต่เรื่องดีๆไม่ได้เกิดขึ้นทุกวันหรือบ่อยๆ
ซ้ำร้ายชีวิตบางคนอาจหนักหนาสาหัส
เจอแต่เรื่องไม่ดีเข้ามาในชีวิตก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม ชีวิตคนเราในแต่ละวันนั้น
ย่อมมีสุขมีทุกข์คละเคล้าปะปนกันไป
ดีบ้างร้ายบ้าง ทำให้เรายิ้มบ้างร้องไห้บ้าง
ไม่มีใครสุขได้ทุกวัน ทุกข์ได้ทุกครั้ง
แต่จะมีบางวันที่นับเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต
ซึ่งหากเราพบเจอแจ็กพ็อตใดๆในวันนั้น
มันจะทำให้อารมณ์ความรู้สึกของเรา
กระจัดกระจายกระเจิดกระเจิง ทุกข์ใจอย่างที่สุด
อันดับที่ 1
วันที่คนที่เรารักที่สุดในชีวิตตายจากเราไป
วันแบบนี้คงไม่มีใครหนีพ้น ไม่เจอช้าก็เร็ว
นับเป็นวันที่ทุกข์ทรมานใจที่สุดในโลกวันหนึ่ง
แม้เราชาวพุทธจะรู้อยู่ว่า เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา
แต่เอาเข้าจริงเราก็ต้องใช้เวลาในการทำใจเช่นกัน
โดยเฉพาะวันที่เราสูญเสียปู่ย่าตายายพ่อแม่
ยิ่งหากเป็นการสูญเสียลูกก่อนวัยอันควรด้วยนั้น
มันโศกเศร้าและทำใจยากเหลือกำลัง
รวมถึงการสูญเสียคนรักด้วยการตายจากกันด้วย
ชายหญิงคู่หนึ่งคบกันสิบกว่าปีตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย
กำลังจะแต่งงาน แต่ฝ่ายหญิงจากไปด้วยอุบัติเหตุ
ทำให้ฝ่ายชายทำใจไม่ได้ใช้ชีวิตเคว้งคว้างอยู่หลายปี
กว่าจะทำใจกลับมาใช้ชีวิตแบบคนปกติที่มีความสุขอีกครั้ง..
อันดับ 2  
วันที่เราถูกทำร้ายจิตใจอย่างสาหัสที่สุดในชีวิต
วันที่คนที่เรารักถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจ
ลูกสาวหรือแฟนถูกข่มขืน  ถูกล่วงละเมิดทางเพศ
หรือแม้เต่เกิดจากความยินยอมของคนข้างกายเรา
วันที่แฟนของเรานอกใจเรา  นอกกายเรา
วันที่แฟนของเรานอนกับชายอื่น หรือ หญิงอื่น
มีอะไรกันกับคนอื่น ทั้งที่บอกว่ารักเรา
แอบคบกับคนอื่น ทั้งที่ควรจะมีเราคนเดียว
ความลับไม่มีในโลก และสักวันหนึ่งก็เป็นวันที่เรารู้
และวันแบบนี้ ช่างทำร้ายเราได้อย่างเจ็บปวดที่สุด
อันดับ 3
วันที่เราหมดตัว สิ้นเนื้อประดาตัว
วันที่ไฟไหม้ทรัพย์สินของเราจนหมด ไม่มีเหลือ
ถูกปล้นหรือถูกโกงจนหมดเนื้อหมดตัว
เป็นหนี้เป็นสิน จนไม่มีทางโงหัวขึ้น
หรือทำธุรกิจแล้วเจ๊งจนหมดไม่เหลืออะไร
วันที่เปลี่ยนจากคนรวยมาเป็นคนจน
เปลี่ยนจากคนมี กลายเป็นคนไม่มี
วันที่ถูกยึดทรัพย์ ถูกเป็นคนล้มละลาย
(ยกเว้นพวกที่ล้มบนฟูก ไม่นับในกลุ่มนี้)
วันที่ถูกยึดบ้าน ยึดรถยนต์ เป็นต้น
หรือแม้แต่วันที่เรากลายเป็นคนไม่มีเครดิต
ไม่มีใครเชื่อถือ ไม่มีใครไว้วางใจอีกต่อไป
จะบากหน้าไปหาใคร ก็มีแต่คนปฏิเสธ
วันเหล่านี้นับเป็นวันเลวร้ายที่เราต้องจดจำ
ไปจนตลอดชีวิตของเรา วันหนึ่ง เช่นกัน

วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เรื่องเล่า - วิธีของคนที่ไม่เก่ง หัวไม่ดี!!!

ที่เมืองๆหนึ่ง มีเด็กหนุ่มผู้เรียนรู้ช้า ชื่อว่า อาหลง
เขาเป็นลูกชายของพ่อค้ารายหนึ่ง แม้ว่าบิดาของเขา
จะส่งเขาไปร่ำเรียนวิชาความรู้สักเท่าใด
แต่เขาก็ไม่อาจจะก้าวหน้าทันคนอื่นได้สักที
สร้างความกลุ้มใจให้บิดาของเขายิ่งนัก
วันหนึ่ง พ่อของเขาจ้างบัณฑิตมาสอนที่บ้าน
แทนที่จะส่งเขาไปเรียนที่สำนักเหมือนเช่นเคย
เพราะเห็นว่าอาหลง ลูกของตนหัวช้ากว่าคนอื่น
อาหลงนั้น เมื่อเรียนหนังสือช้า ไม่รู้เรื่องเหมือนคนอื่น
ก็พาลหมดกำลังใจไม่อยากจะเรียนรู้วิชาอีกต่อไป
จึงไม่ยอมอ่านหนังสือหรืออ่านตำราเล่มใดอีกเลย
เมื่อบิดาบอกให้เขามาเรียนตัวต่อตัวกับอาจารย์ที่บ้าน
เขาก็ไม่ใคร่อยากจะใส่ใจและสนใจเรียนเท่าใดนัก
ท่านพ่อ ท่านก็รู้ว่าข้านั้นเรียนหนังสือไม่ได้เรื่อง
ท่านก็อย่าลำบากหาอาจารย์มาสอนข้าอีกเลย
บิดาของเขาได้ฟัง จึงกล่าวว่า
อาหลง เจ้าไม่ต้องพูดมากความ
ข้าให้เจ้าเรียนเจ้าก็เรียนเสียเถิด
เมื่อกล่าวถึงอาจารย์ของอาหลงนั้น
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่บัณฑิตที่มีชื่อเสียงมากนัก
แต่วิชาปรัชญาและความรอบรู้ต่างๆนั้น
เขาก็มีความรู้ความสามารถไม่แพ้ใครเลยทีเดียว
บิดาของอาหลงจึงวางใจให้มาสอนลูกชายของตน
การศึกษาของอาหลงในช่วงแรก เป็นไปอย่างทุลักทุเล
อาหลง ไม่ตั้งใจเรียน เขาเบื่อหน่ายกับการเรียน
เพราะแม้เขาจะตั้งใจ แต่การเรียนของเขาก็ไม่คืบหน้า
อย่างไรก็ตาม อาจารย์ของเขาไม่มีท่าทีเบื่อหน่ายแม้แต่น้อย
วันหนึ่ง อาจารย์ชวนอาหลงเดินไปที่สระน้ำ

ซึ่งในสระมีสัตว์น้ำรวมไปถึงเต่ามากมาย

อาจารย์หยิบเต่าออกมาตัวหนึ่ง แล้วถามอาหลงว่า
อาหลง เจ้าว่าเจ้าเต่านี่อืดอาดหรือไม่
ท่านอาจารย์ ในบรรดาสัตว์ต่างๆในโลกนี้นั้น

หามีสัตว์ใดที่อืดอาดกว่าเต่าไม่ อาหลงกล่าว
งั๊นข้าขอถามเจ้าต่อว่า หากข้าวางเจ้าเต่าเอาไว้ตรงนี้
ว่าแล้วอาจารย์ก็ปล่อยเต่าเอาไปไว้ที่ไกลจากสระน้ำพอสมควร
แล้วให้เจ้าหยุดยืนอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน
เจ้าคิดว่า ใครจะไปถึงสระน้ำก่อนกันล่ะ
เมื่อจบคำถาม อาหลงก็เห็นว่า เต่ากำลังค่อยๆคลานไป
ด้วยความเชื่องช้า แต่ตัวเขานั้นหยุดอยู่กับที่ไม่ไปไหน
"ท่านอาจารย์ ท่านสั่งไม่ให้ข้าเดิน ข้าจะไปถึงสระน้ำได้อย่างไร
แม้เจ้าเต่าจะเดินเชื่องช้า แต่มันค่อยๆเดิน
อย่างไรเสีย มันก็ต้องไปถึงสระน้ำก่อนข้าแน่นอน"
คำตอบของอาหลง ทำให้อาจารย์ยิ้มออกมาได้
อาหลงเอ๋ย อันการเดินไปถึงสระน้ำนั้น ก็ไม่ต่าง

จากการศึกษาวิชาความรู้ของเจ้าสักเท่าใดนักหรอก

เพราะไม่ว่าจะเดินช้าหรือเรียนรู้ได้ช้า

แต่หากว่าเราตั้งใจ ค่อยๆเดิน ค่อยๆศึกษา

สักวันจะต้องถึงจุดหมายอย่างแน่แท้

ต่างกับคนเก่ง แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ขยับไปไหน

ต่อให้อีกร้อยปีก็ไม่อาจจะถึงจุดหมายได้ 
เมื่ออาหลงได้ฟังดังนั้น ก็คิดได้

เขาเลิกดูถูกตัวเอง ตั้งใจเล่าเรียนเพียรศึกษา

จนสุดท้าย เขาก็เข้าใจในตำราและเรียนสำเร็จในที่สุด
สุภาษิตสอนใจ
การเติบโตแม้จะช้า ก็ยังไม่น่ากลัวเท่ากับการหยุดนิ่ง