คำคม

ปัญหามีไว้ให้หาปัญญา อุปสรรคมีไว้ให้ฝึกหาทางออก วันไหนที่มีความสุข วันนั้นอย่าทำความสุขในชีวิตหล่นหาย

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

►► จากที่ที่...ไม่มีทาง ◄◄

✿ จงกล้าที่จะคิด กล้าที่จะฝัน และกล้าที่จะทำ
✿ ชีวิตเราต้องมีคุณค่า และคุณค่านั้น เราต้องเป็นผู้สร้างมันขึ้นมาเอง
✿ การมีชีวิตอยู่อย่างทรงคุณค่านั้น นับว่าเป็นเรื่องที่ยากลำบากก็จริง แต่การจะตายให้มีคุณค่า ยิ่งยากเข็ญกว่ามากนัก
✿ เพียงลูกไก่ตัวนั้นขยับปีก มันอาจบินสูงและมองไกลได้ไม่แพ้พญาอินทรี

✿ หนึ่งเปอร์เซ็นต์ของอัจฉริยะคือแรงบันดานใจ ส่วนอีกเก้าสิบก้าเปอร์เซ็นต์ที่เหลือกเป็นเรื่องของหยาดเหงื่อ
✿ ทุกที่ล้วนมีโอกาส ถ้าเรารู้จักตามหา

✿ ยิ่งมีความธรรมดามากเท่าใด ความน่าทึ่งก็ยิ่งมีมากมายเท่านั้น
✿ ในบางสนาม การเดินคนเดียวอาจก้าวไปได้ไกลกว่าและเร็วกว่าไปทีละหลาย ๆ คน แต่บางทีถ้ามีครอบครัวเป็นกองหนุน เราอาจจะไปได้ไกลยิ่งกว่านั้น ส่วนสนามที่ต้องเล่นเป็นทีมก็ควรละอัตตาออกไไปเสีย และทำงานเพื่อทีมให้มากที่สุด ในท้ายที่สุดชัยชนะที่ทีมจะได้รับ มันก็จะย้อนกลับมาเป็นชัยชนะของเราเช่นเดียวกัน

✿ และสำหรับนักล่าฝันแล้ว บางครั้งก็ไม่มีอะไรผลักดันเราให้ก้าวไปข้างหน้าได้ไกลเท่ากับ 'แรงบันดานใจ' อันได้มาจากคู่แข่งที่เก่งกาจ
✿ ด้วยระยะทางที่เท่ากัน คนเดินช้าย่อมเหนื่อยน้อยกว่า แต่มีเวลามากกว่าในการมองดูเส้นขอบฟ้าในมุมที่งดงาม

✿ การรักษาใจให้รู้จักมองโลกในแง่ดีอยู่ตลอดเวลาคือความท้าทายของชีวิต
✿ 'ความงาม' ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายอยู่ภายในสายตาของเขานั่นเอง
✿ การมุ่งแต่จะคิด 'แก้ปัญหา' มากจนเกินไป บางทีปัญหามันก็พาเราเดินเลย 'ทางออก' ไปไกลโข

✿ คนเราถ้าลองได้ติดกระดุมเม็ดแรกผิดเสียแล้ว ให้บรรจงติดเม็ดที่เหลืออย่างไรมันก็ออกมาเบี้ยวอยู่ดี
✿ ยิ่งทัพเราไพร่พลน้อยเพียงใด ชัยชนะจะยิ่งทวีความยิ่งใหญ่ขึ้นเพียงนั้น

✿ การทำงานก็คือการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง
✿ ความผิดพลาด...กับสิ่งที่เรารู้หนทางป้องกันอยู่แล้ว แต่เรายังเลินเล่อปล่อยให้มันเกิดขึ้นซ้ำอีก ก็เท่ากับว่าเราไม่ได้เรียนรู้อะไรจากบทเรียนในครั้งก่อนหน้าเลย

✿ คนที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่ผู้ที่ไม่เคยก่อความผิดพลาด หากแต่เป็นผู้ที่รู้จัดจดบันทึกความผิดพลาดและเรียนรู้กับมัน
✿ เธอฉันมิใช่เท้าหลังเท้าหน้า แต่เป็นเท้าซ้ายเท้าขวาที่เกื้อหนุนกัน เป็นปีกที่สมดุลและสัมพันธ์สอดคล้องต้องกันทุกท่าที

✿ ผู้หญิง...คิดเป็นคำพูด ส่วนความคิดของผู้ชายออกมาเป็นรูปภาพ

✿ เปิดใจให้กว้าง ๆ แล้วจะมองเห็นว่าวิธีการอันแตกต่างนี่แหละ ที่เป็นผู้สร้างความงดงามให้แก่โลก
✿ ความสำเร็จไม่เคยทอดทิ้งคนที่เพียรแล้วล้มเหลว แต่ปฏิเสธคนที่ล้มเหลวต่อความเพียร

✿ ไม่เคยทำผิดคือไม่เคยคิดทำอะไรเลย
✿ เพราะชัยชนะที่แท้จริงมันอยู่ที่...จุดหมายไม่ใช่จุดเริ่มต้น

ขอขอบคุณ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=athena-th&month=09-2008&date=23&group=19&gblog=19

☆*~ถึงเหนื่อยแต่ใช่ว่าแพ้...ความท้อก็แค่...บททดสอบของชีวิต~ *☆

- อย่าคิดว่าตัวเราโชคร้าย อย่าคิดว่าชีวิตเราแย่ที่สุด เพราะคนอื่น ๆ เขาก็มีปัญหาของเขาที่ต้องต่อสู้เหมือนกัน ทุกคนก็เหนื่อยกันหมด ไม่ใช่แค่เราคนเดียว
- ชีวิตนี้ คุณแพ้ไม่ได้ และถ้าในโลกนี้ไม่มีเส้นทางสำหรับคนแพ้ คุณจะเลือกเส้นทางใดให้กับชีวิตของตัวเอง

- ...การเป็นคนจริงจังกับชีวิต มันก็มีข้อดี ตรงที่ทำให้เรามีโอกาสพบความสำเร็จสูง แต่ในขณะเดียวกัน คนประเภทนี้มักมีจุดอ่อนตรงที่ความอ่อนไหว คือเมื่อทำก็ทำจริง ๆ ทำสุดความสามารถ บางครั้งถึงกับทำเกินความสามารถ แต่เมื่อต้องพบว่าผลลัทธ์มันไม่ได้ออกมาดีอย่างที่คาดหวัง จิตใจก็จะรู้สึกท้อและผิดหวังมากมายใหญ่โตกว่าคนอื่น

- แท้จริงแล้วความท้อนั้น ก็เป็นเพียงแค่ภาวะทางความรู้สึกอย่างหนึ่ง ที่มันเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล แต่สามารถกำจัดออกไปได้ด้วยเหตุผล
- เมื่อใดที่ท้อ ฉันก็จะปล่อยให้ตัวเองได้อยู่ความท้อไปจนเพียงพอ ให้ร่างกายและจิตใจได้หยุดพัก ได้เยียวยารักษาตัวมันเอง เพราะฉันรู้และเชื่อมั่นว่า...หลังจากที่ภาวะร้าย ๆ ทางความรู้สึกนั้นสงบลง ตัวฉันเองที่มีสัญชาตญาณของนักสู้ จะลุกขึ้นมาทำหน้าที่อีกครั้งอย่างแข็งแรง

- ให้ความท้อเป็นเพียงช่วงพักเบรกของชีวิตเท่านั้นก็พอ แต่อย่าปล่อยให้มันมีอิทธิพลบงการจิตใจคุณให้หยุดทุกอย่าง
- ถ้าใจมันอยากท้อ ก็ปล่อยให้มันท้อให้เต็มที่ แต่อย่าลืมวางแผนไว้ด้วยว่า...วันไหนที่คุณจะลุกขึ้นมาทำหน้าที่ของคุณอีกครั้ง

- สังคมมนุษย์คือสังคมที่มีความสับสนซับซ้อนมากที่สุด และที่ใดก็ตามที่มีคำว่า "สังคม" ก็ย่อมจะต้องมีการเอารัดเอาเปรียบ แย่งชิงทำร้ายกันร่ำไป คนจริงใจนั้นหาพบยากกว่าคนไม่จริงใจ จึงไม่แปลกอะไรที่เราจะต้องพบกับความผิดหวังมากกว่าสมหวัง และหากเราเพียงทำความเข้าใจในสัจธรรมชีวิตข้อนี้ได้ เราก็จะปล่อยวางจากความเจ็บปวดและผิดหวังได้ง่ายขึ้น

- คิดแล้วก็น่าแปลก...ที่แม้แต่สัตว์มันยังรู้สึกวิธีป้องกันตัวเองจากความเจ็บ และรู้ว่าอะไร คือสิ่งที่ถูกต้องและดีที่สุดควรทำเพื่อตัวเอง แต่บางครั้ง...คนเรากลับไม่รู้

- จงยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นและรีบทำใจลืมมันซะ เพราะหากเธอยังคิดฟุ้งซ่านและหมกมุ่นกับความเจ็บแค้นเสียใจอยู่อย่างนี้ คนที่ทำร้ายเธอจะไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว แตมันจะเป็นตัวของเธอเอง
- ไม่มีใครในโลกที่จะยิ่งใหญ่ได้ตั้งแต่ก้าวแรกที่เริ่ม ทุกคนล้วนต้องผ่านการล้มลุกคลุกคลาน มีบาดแผล มีบทเรียน มีอดีตที่เจ็บช้ำมาทั้งนั้น ถึงจะกลายเป็นคนที่ฉลาด เข้มแข็งและแกร่งอย่างวันนี้ได

- ความล้มเหลวไม่ใช่สิ่งที่จะมาตัดสินชีวิตเราได้ และมันไม่ใช่คำตอบ แต่เป็นเพียงคำบอกใบ้ ให้เราได้เข้าใจถึงเทคนิคและกลวิธีของการใช้ชีวิตมากขึ้น การที่เราจะใช้ชีวิตได้อย่างเข้มแข็งหรืออ่อนแอนั้น มันขึ้นอยู่ที่มุมมองความคิดอย่างเดียวล้วน ๆ และการที่เราจะเป็นคนล้มเหลวหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่ที่เราจะมอง จะคิดและตัดสินตัวเราเอง

- ไม่มีใครรู้ได้ว่ในอนาคตจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่สิ่งเดียวที่แน่ใจได้ คือถ้าเราอยากจะมีอนาคตที่สวยงาม เราจะต้องทำวันนี้ของเราให้ดีที่สุด ถ้าเราอยากจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในวันข้างหน้า เราจะต้องแกร่ง เข้มแข็ง อดทน และเดินหน้าต่อสู้อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ โดยไม่สนว่าจะต้องพบเจอกับอะไร

- วันนี้คุณอาจทำในสิ่งที่คุณวาดฝันไว้ได้ไม่สำเร็จ แต่ลองหันกลับมามองที่ตัวเองสิว่า...ความล้มเหลวที่ผ่านมามันให้อะไรคุณมาบ้าง ฉันเชื่อว่าคุณคงได้มาเยอะ เหมือนกับที่ฉันเองก็ได้มาเยอะ

- ความช่วยเหลือจากคนอื่น...เปรียบเสมือนกับกล่องของขวัญที่สวรรค์ได้ส่งมาให้ ในยามที่ได้รับมัน เราอาจดีใจและมีความสุขเหลือเกิน แต่หลังจากที่เราได้เปิดกล่องออกมาแล้ว กล่องใบนั้นมันจะหมดค่า...แต่การที่เราได้ต่อสู้ช่วยเหลือตัวเราเอง...เปรียบเสมือนกับของขวัญที่เราซื้อให้ตัวเอง แม้มันไม่ได้ถูกห่ออยู่ในกล่องที่สวยงาม แตามันจะเป็นของที่มีค่าและทำให้เราภูมิใจเสมอเมื่อได้เห็น

- ทุกครั้งที่ยกสองมือขึ้นมา ฉันรู้เสมอว่าฉ้นจะทำอะไรเพื่อตัวเองก็ได้ แค่สองมือนี้มันก็เพียงพอแล้วสำหรับชีวิตหนึ่งชีวิต
- ทุกปัญหา ต้องแก้ที่ใจ ถ้าใจยังไม่ดี ชีวิตจะดีไม่ได้
- อย่าลืมว่า...ถ้าเหนื่อยที่กาย ต้องให้กายพัก แต่ถ้าเหนื่อยที่ใจ ต้องใช้ใจแก้

- ทุกนาทีที่นั่งคร่ำครวญคิดถึงเขา คุณจะเสียเวลาไปฟรี ๆ ทุก ๆ ครั้งที่ย้อนนึกถึงเรื่องราวในอดีต คุณจะเจ็บฟรี ๆ และสุดท้ายคุณจะได้พบว่า...ความเศร้าโศรกเสียใจไม่เคยช่วยอะไรได้ หนำซ้ำยังทำให้คุณเดินถอยหลังไปสู่จุดที่มืดมนลงเรื่อย ๆ บางที...วันเวลาของการเป็นผู้ให้ของคุณคงจบลงแล้ว ฟ้าคงกำหนดมาให้ต่อจากนี้เป็นเวลาที่คุณต้องรักและดูแลตัวเอง เมื่อไม่มีเขาให้คุณต้องคอยแคร์และห่วงใย คุณอาจได้คิดถึงตัวเองและทำเพื่อตัวเองมากขึ้น วันนี้คุณอาจรู้สึกว่มันเจ็บ ที่ต้องสูญเสียคนที่รักไป แต่วันหนึ่งคุณจะต้องขอบคุณฟ้า ที่ทำให้ความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ได้เกิดขึ้น และทำให้ชีวิตของคุณได้พบกับสิ่งที่ดีกว่าอีกมากมายหลายสิ่ง

- 'ตัวฉันเองหรือเปล่า ที่เป็นสาเหตุของความสุขและความล้ม เหลวของทุก ๆ เรื่อง'
- ที่จริงแล้วฉันไม่ได้เพียงมีปัญหากับสิ่งอื่น ๆ รอบตัว แต่ฉันคือคนที่มีปัญหากับความคิดและอารมณ์ของตัวเองด้วย
- เป็นไปไม่ได้หรอก ที่เรจะมีความสุขได้ตลอดเวลากับเรื่องทุกเรื่อง แต่การยืนอยู่ตรงจุดกึ่งกลางระหว่างความสุขกับความทุกข์ แล้วใช้ชีวิตอย่างคนที่มีความสุขน่ะเป็นไปได้

- นาทีที่เรารู้สึกตัวว่าเรากำลังเดินทางผิด นั่นคือนาทีที่ชีวิตเรากำลังจะได้เริ่มต้นใหม่ เพียงแค่รู้ตัว...เราก็ปลอดภัยแล้ว เพียงแค่รู้ว่าอะไรถูกผิด...ก็เท่ากับเราเปลี่ยนแปลงเส้นทางแล้ว

- อย่าเสียใจที่คุณได้กลายเป็นคนไม่ดีในความทรงจำของเขา เพราะในวันหน้า...คุณอาจจะกลายเป็นคนที่ดีที่สุดในความรู้สึกของคนอื่น คนอื่นอีกหลาย ๆ คนที่ไม่เคยล่วงรู้ความเป็นมาของคุณ และคนอื่นอีกหลาย ๆ คนที่แม้จะล่วงรู้อดีตของคุณ แต่เขาก็ยอมรับในตัวคุณได้

- ยกโทษให้ตัวเองสำหรับความผิดพลาดที่ผ่านมา แล้วลบลืมทุกความทรงจำที่เลวร้ายให้หมดสิ้น สัญญากับตัวเองสิว่า...นับแต่พรุ่งนี้คุณจะเป็นคนใหม่ ที่ไม่วันเดินหลงทางอีกแล้ว
- หยุดถามตัวเอง ว่าความทุกข์จะจากไปวันไหน แต่จงเฝ้าตั้งตารอ ว่าความสุขจะมาถึงเมื่อไหร่

- อย่าเสียใจเลย...ที่ผลงานจากความพยายามของเรา มันไม่ได้ออกมาดีอย่างที่ใจหวัง คนที่ไม่เคยได้พยายามเลยต่างหากคือคนที่น่าเสียใจมากกว่า อย่างน้อยเราก็รู้ ว่าที่ผ่านมาเราได้ทำดีที่สุดแล้ว ดีกว่าคนบางคนที่กำลังยืนยิ้มกับความสำเร็จ แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้เลยว่า...ความสำเร็จที่ได้มานั้นมายังไง

- ทุก ๆ อย่างที่เกิดขึ้นมันต้องมีเหตุผลในตัวของมันเอง บางทีเราอาจไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลให้ไดไปหมดทุกเรื่อง แค่ยอมรับความจริงแล้วลืมมันไปซะ อาจจะง่ายกว่า
- อย่าเอาเรื่องราวในปัจจุบันไปตัดสินอนาคต อย่าเอาเรื่องเพียงเรื่องเดียวไปตัดสินชีวิตที่เหลือทั้งชีวิต อย่าคิดว่าขนาดเราทำดีที่สุดแล้วเรายังล้มเหลว ต่อไปคงไม่มีหวังที่เราจะประสบความสำเร็จได้

- วันนี้ไม่ใช่วันของเรา แต่วันหนึ่งมันต้องเป็นวันของเราจนได้ ถ้าเรายังไม่หยุดวิ่งตามไล่ล่ามัน ความสำเร็จมันก็ไม่มีทางที่จะหนีเราไปไหนพ้น
- เพราะการที่ชีวิตไม่มีอะไรเหลือ นั่นยังไม่น่ากลัวเท่ากับการที่กำลังใจไม่มีเหลือ

- การมีทุกอย่างเพียบพร้อม ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ความเป็นคนของคุณนั้นสมบูรณ์ แต่การที่คุณยังมีลมหายใจ มีความหวัง ความฝันและมีจิตสำนึก ไม่ว่าโชคชะตาจะนำพาคุณไปยืนอยู่ตรงจุดที่ตกต่ำ หรือย่ำแย่สักแค่ไหน แต่คุณก็ยังคงมีกำลังใจและเข้มแข็งหนักแน่นพอที่จะต่อสู้ นั่นต่างหาก คือคุณค่าที่แท้จริงของความเป็นคน

- อย่าลืมว่า...ความไม่เหลืออะไรคือ...เรื่องธรรมดาของชีวิต แต่การยินยอมที่จะอย่างคนไม่เหลืออะไรต่างหากคือ...เรื่องแปลก
- ...บางครั้งการใช้ชีวิตก็ต้องการความแน่วแน่และหนักแน่น เราไม่สามารถที่จะทำแต่ในสิ่งที่เราอยากทำ แต่บางครั้งเราต้องคำนึงถึงว่า...อะไร คือสิ่งที่ต้องทำ และอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด ดีที่สุด
- ความอ่อนไหวของใจเรา คือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่สิ่งที่แก้ไขได้...คือการที่เราต้องรู้จักใช้จิตสำนึกในการดำรงชีวิตให้มากขึ้น
- ความรู้สึก...มีแต่จะสั่งให้เราทำนั่นทำนี่อย่างเดียว แต่ไม่เคยเลยที่มันจะมาร่วมรับรู้ถึงผลที่ตามมากับเราด้วย เพราะฉะนั้น...คงไม่จำเป็นที่เราต้องไปเชื่อฟังมันก็ได้ คุณว่าจริงไหม

- ...ถ้าไม่เคยล้ม เราจะไม่มีวันได้รู้จักคำว่า "บาดแผล" และไม่มีวันที่จะรู้วิธีเยียวยารักษาแผล...ถ้าไม่เคยเจ็บ เราจะไม่มีวันรู้รสชาติของความเจ็บ และไม่มีวันรู้วิธีที่จะปกป้องตัวเอง
- ...ถ้าเราอยากได้ประสบการณ์ เราก็ต้องยอมเหนื่อย ยอมเจ็บ ถ้าเราอยากจะใช้ชีวิตได้อย่างคนฉลาด เราก็ต้องยอมผ่านการเป็นคนโง่มาก่อน

- เรื่องราวของความสุขความสมหวัง...อาจทำให้คุณยิ้มได้ แต่เรื่องราวของทุกข์ การต่อสู้และน้ำตา จะทำให้คุณภาคภูมิใจมากกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่า
- ...ความผิดหวังจะถูกทำลายลงด้วยวันเวลาที่หมุนผ่านไป...

- ถ้าเราทำใจให้ใหญ่ ๆ ไว้ อะไร ๆ ก็จะเป็นเรื่องเล็กไปหมดสำหรับชีวิตเรา ถ้าใจเราไม่กลัวอะไร บางทีสิ่งเลวร้ายมันอาจจะกลัวเราเสียเอง

- คุณค่าของชีวิต ไม่ได้วัดกันตรงที่เราทำถูกกี่อย่าง หรือผิดกี่อย่าง แต่มันขึ้นอยู่ตรงที่เราได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นตัวของตัวเอง ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ชอบและได้ทำให้ตัวเองมีความสุขไหม... ฟ้าไม่ได้ให้เราเกิดมาบนเงื่อนไขที่ว่า เราจะต้องเป็นคนดีพร้อมที่สุด แต่สิ่งที่ฟ้าอยากเห็นก็คือ...การที่สิ่งมีชีวิตอย่งเราจะสามารถดำรงชีวิตอย่างมีความสุข และรู้จักวิธีเอาตัวรอดในรูปแบบของตัวเองได้

- "จำเป็นไหม ที่เราต้องเป็นคนที่ดีพร้อมขนาดนั้น ในเมื่อเราเป็นไม่ได้และการพยายามที่จะเป็น มันก็ทำให้เราทุกข์ ทำไมเราจึงไม่ปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามหนทางของมัน"
- ถ้าหากเราทำดีทุกอย่าง แต่ไม่เคยมีโอกาสได้ทำตามความต้องการของตัวเราเอง ชีวิตนี้เกิดมา ก็คงไม่มีค่าอะไร

- ลองหนีไปพักดูเสียหน่อยดีไหม หนีไปทั้ง ๆ ที่มีคนมากมายคัดค้าน หนีไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันอาจไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง บางที...การได้ทำตามความรู้สึกของหัวใจตัวเองบ้างสักครั้ง อาจจะทำให้คุณได้พบกับวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดก็ได้
- บางทีการวิ่งวุ่นปรึกษาคนอื่น อาจไม่ดีเท่ากับการคิดอะไรคนเดียว และบางทีการคิดอะไรคนเดียว ก็อาจไม่ดีเท่ากับการอยู่คนเดียว ลองพาตัวเองไปพบกับความเงียบสงบดูบ้าง เผื่อว่าคำตอบของชีวิตที่คุณหามานาน...อาจจะซ่อนอยู่ที่นั่น

- ฉันคิดเสมอว่า..การที่ฉันแคร์ความรู้สึกของคนอื่นนั้นเป็นสิ่งดี แต่ในที่สุดฉันก็พบว่า...ยิ่งฉันแคร์คนอื่นมากเท่าไหร่ อิสระเสรีและความสุขใจของฉันก็ยิ่งขาดหายไปมากเท่านั้น

- ทุกคนย่อมต้องมีเป้าหมายของตัวเอง เป้าหมายที่เราคิดว่ามันใช่สำหรับเรา ทุกคนย่อมต้องมีวิธีของตัวเองในการใช้ชีวิต วิธีที่เราคิดว่าเราถนัดและมันดีกับตัวเรามากที่สุด แต่เมื่อใดก็ตามเป้าหมายและวิธีของเรา กลายเป็นสิ่งที่ถูกบงการโดยคนอื่น เมื่อนั้นเราก็จะเริ่มเดินพลัดหลงออกนอกเส้นทางโดยไม่รู้ตัว

- เพียงแต่ปลดปล่อยตัวเองจากความคาดหวังของคนอื่น แล้วคุณจะได้รู้ว่า...ความสุขและความอิสระ...คืออะไร
- ใครหลายคนในโลกนี้สามารถที่จะมายืนเคียงข้างคุณได้ แต่จะมีเพียงคู่แท้ของคุณคนเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถร่วมสุขร่วมทุกข์กับคุณไปทั้งชีวิต
- ไม่จำเป็นหรอกที่คุณต้องออกไปตามเสาะหาใคร แค่รอคอยอยู่นิ่ง ๆ แล้วเมื่อวันของคุณมาถึง คุณจะเจอเขา (คู่แท้) เอง

- จงใช้บทเรียนทั้งหมดที่เคยได้รับมา เป็นเครื่องสอนเตือนตัวเองให้รู้จักระแวดระวังมากขึ้น ถึงแม้เราจะพาชีวิตให้หนีพ้นจากความไม่แน่นอนไปไม่ได้ แต่เราก็สามารถที่จะเตรียมตัวเตรียมใจพร้อม เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นกับชึวิตได้
- ...อาจไม่ต้องถึงกับมองโลกในแง่ร้าย ว่าชีวิตจะต้องมีแต่ทุกข์ มีแต่ปัญหา แต่ขอให้คุณมองเป็นกลาง ๆ ไว้ว่า สุขเกิดขึ้นได้ ทุกข์ก็เกิดขึ้นได้
- ...คุณต้องไม่ลืมว่า...ชีวิตนี้มีคุณค่าตรงที่ลมหายใจของเราเท่านั้น ไม่ว่าจะต้องสูญเสียอะไรไป แต่ตราบใดที่ลมหายใจยังอยู่ ตราบนั้นชีวิตเราก็ยังมีค่าและมีความหมายเสมอ

- ถึงแม้ว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงใดขึ้นกับชีวิตคุณก็ตาม จงยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นให้ได้ นั่นคือวิธีเดียวที่จะทำให้คุณทุกข์น้อยที่สุด

ขอขอบคุณ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=athena-th&month=07-2008&date=31&group=19&gblog=18

คำที่สร้างแรงบันดาลใจจากหนังสือ

"ดีที่สุดในสิ่งที่เป็น" ของ "หนุ่มเมืองจันท์" เป็นหนังสือในชุดฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ เล่มที่ ๑๘ เหมือนจะเป็นเล่มแรกที่มีการนำคำเด่น คำที่สร้างแรงบันดาลใจแยกมานำเสนอในท้ายบทหลาย ๆ บท

ผมเห็นว่า คำเหล่านี้สามารถสร้างอะไรบางอย่างให้กับจิตใจของผู้ที่เข้ามาอ่าน จึงขอคัดลอกและนำเสนอในบันทึกนี้

.............................................................................................


การทำงาน เหมือนการทำอาหารบนเตาถ่าน

๑.

มี "สูตร" แต่ไม่มี "สูตรสำเร็จ"
ต้องกะ-กะ และ ชิม-ชิม

.

"ปัญหา" เหมือนกับ "ความร้อน"
ควบคุมไม่ได้ แต่แก้ไขได้

๓.

ความสุขของ "พ่อครัว" ไม่ได้อยู่ที่ "ตัวเอง"
แต่อยู่ที่ "คนกิน"

.............................................................................................

ชีวิตไม่ใช่ต้องเดินหน้าอย่างเดียว
บางครั้งเราก็ต้องถอยบ้าง
อย่า "กลัว" ที่จะ "กล้า"
และอย่า "กล้า" ในยามที่ต้อง "กลัว"

.............................................................................................

บางครั้ง...
เราต้องกล้าปล่อยให้ชีวิตเดินไป
ปล่อยหัวใจให้เดินผ่าน
แล้วสั่งว่า...ไปหาให้เจอ "ความสุข"
ไม่สนุก...อย่ากลับมา

.............................................................................................

"ต๊อบ" บอกว่ามีสิ่งเดียว
ที่เขาโชคดีกว่าเด็กคนอื่น
คือรู้ว่าอยากเป็นอะไรตั้งแต่อายุ ๑๘ ปี


(ต๊อบ คือ เจ้าของผลิตภัณฑ์ "เถ้าแก่น้อย")

.............................................................................................

เจอคำคมในหนังสือ Your World Your Way ของ AIS
เส้นแบ่งระหว่างความสำเร็จและความล้มเหลว
สามารถแสดงออกได้ใน ๕ พยางค์ คือ



ฉัน-ไม่-มี-เว-ลา



อ่านแล้วสะดุ้ง แต่นึกเถียงในใจ
ไม่เป็นไร... "ฉันมีนาฬิกา"

.............................................................................................

"ถ้าคุณมัวแต่จดจ่ออยู่กับยอดเขา
ลืมทางที่คุณจะต้องก้าวเดินขึ้นไป
คุณก็จะไม่มีวันปีนขึ้นสู่ยอดเขาสำเร็จ"
เป็นคำพูดของ "ชองจูยอง"
นักธุรกิจใหญ่คนหนึ่งของเกาหลีใต้


เขาชอบการปีนเขา
และนำหลักของการปีนเขามาใช้ในการทำงาน
"ชองจูยอง" สอนลูกน้องว่า


การไต่เขาสูงนั้น หากมองแต่ยอดเขาที่สูงลิ่ว
...เราจะหมดกำลังใจ
ยอดเขาสูงลิบลิ่ว ตัวเราเล็กกระจ้อยร่อย
แต่ถ้าเราไม่เฝ้ามองแต่ยอดเขา
เก็บ "ยอดเขา" เป็น "เป้าหมายในใจ"
มองเส้นทางเดินที่อยู่เบื้องหน้า
และก้มหน้าก้มตาปีนเขาไปเรื่อย ๆ
วันหนึ่ง คุณจะก้าวขึ้นสู่ "ยอดเขา" สำเร็จ

.............................................................................................

"ความสุข" ทำให้เราอ้วนขึ้น
แต่ "ปัญหา" ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น

.............................................................................................

เพราะ "ความเคยชิน" ทำให้เรา "คุ้นเคย"
"คุ้นเคย" จนไม่เห็น "คุณค่า" ของสิ่งนั้น
"น้ำท่วม" ทำให้เรารู้ซึ้งถึงคำว่า "บ้าน" ที่เราคุ้นเคย
เรารักบ้าน เราคิดถึงบ้าน เราอยากกลับบ้าน

...บทเรียนนี้น่าจะทำให้เราฉุกคิด
ยังมีอะไรรอบกายที่เรา "เคยชิน"
จนไม่เห็น "คุณค่า" บ้างไหม
น้ำท่วมยังมีลด เรายังได้กลับบ้าน
แต่บางอย่างอาจไม่มีวันหวนกลับมาอีกเลย

.............................................................................................


นาฬิกาของเราทำไมไม่เคยเดินตรง
เวลา "รีบ" ชอบเดินเร็ว
เวลา "รอ" มักเดินช้า
...นาฬิกาใจ

.............................................................................................

"ต้นไม้" ก็คล้ายกับ "คน"
ช่วงหนุ่มสาวมักคิดเหยียดกายให้สูงที่สุด
แต่เมื่อเวลาผ่านไป
ต้องรู้จักแผ่กิ่งก้านเพื่อให้ร่มเงาแก่คนอื่น
เพื่อให้คนจดจำในวันที่ร่วงโรย

.............................................................................................

"ความเจ็บปวด" มักทำให้เรา "จำ"
แต่ "ความทรงจำ" ไม่จำเป็นต้อง "เจ็บปวด"

.............................................................................................

ขอขอบคุณ http://www.gotoknow.org/blogs/posts/485226

"No life!" ...

"No life!" ... (คำที่แปลว่ารัก : วินทร์ เลียววาริณ)

ขอนำเสนอ "No life!" เรื่องเล่าจากหนังสือ "คำที่แปลว่ารัก" ของ "วินทร์ เลียววาริณ"

ผมคิดว่า บทความนี้เป็นบทความที่กำลังจะบอกอะไรบางอย่างกับพวกเราหลายคน โดยเฉพาะคนทำงาน คนที่กำลังค้นหาบางสิ่งบางอย่างในชีวิต การดำเนินชีวิตในทุก ๆ วัน ทุก ๆ ลมหายใจได้ดี

บทความนี้ มีความหมายในความรู้สึกผมครับ

No life!

สำนวนหนึ่งที่ผมเรียนมาจากฝรั่ง หลังจากใช้ชีวิตในต่างประเทศพักใหญ่ก็คือ having no life

ฝรั่งเรียกพวกที่ทำงานอย่างหนักทั้งวันยันค่ำ ไม่ยอมพักผ่อนหย่อนใจหรือไปเที่ยวเลยว่า "He has no life!"

having no life แปลตรงตัวว่า ไม่มีชีวิต มีความหมายถึง คนที่ใช้ชีวิตแบบไม่เต็มที่ หรือเกิดมาแล้วไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากงาน

แต่เส้นแบ่งระหว่างการใช้ชีวิตเต็มที่กับไม่เต็มที่วัดได้ยาก เพราะ "เต็มที่" ไม่ได้หมายถึงการใช้ชีวิตผจญภัยสุดขั้ว ท่องไปทั่วโลก ลองของแปลกใหม่ทุกอย่างเสมอไป ชีวิตเต็มที่น่าจะเป็นชีวิตที่เจ้าของชีวิตใช้แล้ว รู้สึกว่าคุ้มกับการเกิดมา หรือได้ใช้ชีวิตในระดับน่าพึงใจแล้ว

ชีวิตเต็มที่คือชีวิตที่ไม่ "เต็มที่" !

"การไม่มีชีวิต" ไม่ได้หมายถึงการไม่ได้ท่องทั่วโลก ไม่ได้กินของดี เพราะคนที่รวยมาก เดินทางมากก็อาจ "ไม่มีชีวิต" ก็ได้

เล่ากันว่า ปรมาจารย์ เล่าจื้อ กับผองเพื่อนชอบคุยกันสบาย ๆ ในบางซอกบางมุมของเมือง ไม่เคยต้องเดินทางไปไหนไกล เล่าจื้อเขียนไว้ในคัมภีร์ เต๋า เต็ก เก็ง ว่า "มิได้ออกจากบ้าน ก็รู้จักโลก มิได้สอดส่องมองออกหน้าต่าง ก็รู้จักวิถีแห่งฟ้า..."

ความหมายของเล่าจื้อไม่ได้บอกว่าให้ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องออกนอกบ้านหรือไม่มองออกนอกหน้าต่าง แต่อยู่ที่การมองให้เห็นหรือถ้าออกนอกบ้านแล้วก็มองให้เห็น เมื่อนั้นถึงไม่ได้เดินทางไกล ก็รู้หมด และรู้สึกว่าใช้ชีวิตเต็มที่แล้วได้เช่นกัน

ผมรู้จักคนไทยหลายคนที่ไปใช้ชีวิตในเมืองนอก แต่ทุกวันขลุกอยู่กับก๊วนคนไทยด้วยกัน ไม่เคยพูดกับฝรั่งที่ไหนเลย อยู่เมืองนอกห้าปี พูดไทยคล่องกว่าเดิม! อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้แปลว่า "ไม่มีชีวิต" เพียงแต่สูญเสียโอกาสที่จะตักตวงศักยภาพของการเดินทางนั้นไป

"การไม่มีชีวิต" ก็คือการที่ไม่รู้ว่ามีชีวิตไปทำไม มองไม่เห็นความงามของการอยู่ในโลกนี้ ไม่เคยคิดปรับตัวปรับใจที่จะอยู่ต่อไป หรือพัฒนาคุณภาพชีวิตของตน โดยเฉพาะทางจิตใจ

"การไม่มีชีวิต" ก็คือการติดในพันธนาการที่ส่วนมากตนเองสร้างขึ้นมาเอง เช่น ตกอยู่ในบ่วงของอบายมุข การพนัน เหล้ายา กินเหล้าแบบให้เหล้ากินตัวเอง

"การไม่มีชีวิต" ก็คือการปล่อยให้คนอื่นใช้ชีวิตของตนเองแทนตนจะก้าวข้ามก็ต้องขออนุญาต จะเดินขวาก็ต้องขอความเห็นชอบ

ซูเปอร์แมนผู้พิการ คริสโตเฟอร์ รีฟ ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงจนมันเปลี่ยนชีวิตเขาจากหน้ามือเป็นหลังมือ เขาเป็นคนที่จัดได้ว่า "ตายทั้งเป็น" ไปแล้ว คือถูกพันธนาการในร่างกายของตนเองที่เคลื่อนไหวไม่ได้ แต่ชีวิตของเขาไม่สิ้นสุดเพียงแค่นั้น เขาใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ทำกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย ทั้งที่พิการ

เขากล่าวปาฐกถาในงานประชุมพรรคเดโมแครตปี ๑๙๙๖ ว่า "ความฝันมากมายของเราที่แรกดูเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อเรารวบรวมความมุ่งมั่นในไม่ช้าความฝันเหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่พ้นที่จะเป็นจริง"

เมื่อใจเป็นอิสระ ก็มีชีวิต

ชีวิตเป็นการรวมกันขององค์ประกอบย่อย ๆ บางชิ้นใหญ่ แต่ส่วนมากเป็นชิ้นเล็ก ๆ คนที่ใช้ชีวิตคือคนที่รู้จักหยิบชิ้นเล็ก ๆ เหล่านั้นมาใช้ และไม่ต้องรอถึงวันพรุ่งนี้

ในเดือนมกราคม ปี พ.ศ.๒๕๕๒ เครื่องพาณิชย์ลำหนึ่งร่องลงจอดฉุกเฉินบนแม่น้ำฮัดสัน หลังจากเครื่องยนต์ทั้งสองดับ ด้วยฝีมือและการตัดสินใจที่ถูกต้องของกัปตัน ผู้โดยสารทั้งหมดรอดตายมาได้อย่างมหัศจรรย์ ผู้รอดตายคนหนึ่งกล่าวหลังเหตุการณ์นี้ว่า "จงใช้ชีวิตวันนี้ไม่ใช่พรุ่งนี้"

คนจำนวนมากพบสัจธรรมนี้เมื่อเฉียดความตาย และพบว่าชีวิตคนเรานั้นสั้นและบอบบางเหลือเกิน เผลอนิดเดียวก็ไม่ได้ใช้ชีวิตแล้ว

having life กับ having no life อาจต่างกันตรงที่ว่าเรามองเห็นความไม่ถาวรของชีวิตหรือไม่

เมื่อคุณเห็นคุณค่าของชีวิตแล้ว สิ่งเล็ก ๆ ก็อาจมีความหมายยิ่งใหญ่ได้ และการเปิดหน้าต่างมองฟ้าก็อาจเห็นไกลกว่าแค่ท้องฟ้า

คาลิล ยิบราน เขียนว่า "จงอย่าลืมว่าโลกปีติยามสัมผัสฝ่าเท้าเปล่าของเจ้า และสายลมปรารถนาจะเล่นกับเส้นผมของเจ้า"

ติช นัท ฮันท์ กล่าวว่า "มหัศจรรย์ของชีวิตก็คือการย่ำเท้าบนยอดหญ้าง่าย ๆ เช่นนั้น"

หลายปีก่อน ผมพากลุ่มแขกต่างชาติไปนอนริมหาดชะอำ ครั้นยามดึกชวนบางคนไปดูดวงจันทร์เหนือทะเล คำตอบ (ในรูปคำถาม) ที่ทำให้ผมงันไปก็คือ "ดูไปทำไม"

มีคนไม่มากในโลกสามารถเงยหน้ามองอาทิตย์บนฟ้า หลายคนลืมไปแล้วว่ามีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว อีกหลายคนมัวแต่ก้มมองพื้นดินจนลืมไปแล้วว่ามีท้องฟ้า!

ดังนั้นการที่มนุษย์คนหนึ่งสามารถเงยหน้าขึ้นเบื้องบนและชื่นชมความงามของมัน ก็นับว่าเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง

การรู้จักเสพความงดงามก็คือการมีชีวิตอย่างหนึ่ง!


การมีชีวิตไม่ใช่การมีท้องฟ้าสวย ๆ ให้มอง แต่อยู่ตรงที่การรู้จักเงยหน้าขึ้นเบื้องบนแม้ในคืนที่ฟ้าหม่นมัว!
ขอขอบคุณ http://www.gotoknow.org/blogs/posts/485149