คำคม

ปัญหามีไว้ให้หาปัญญา อุปสรรคมีไว้ให้ฝึกหาทางออก วันไหนที่มีความสุข วันนั้นอย่าทำความสุขในชีวิตหล่นหาย

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทำอย่างไรจึงจะอยู่อย่างมีความสุข

ทำอย่างไรจึงจะอยู่อย่างมีความสุข




ความเอ๋ย ความสุข
ใครๆทุกคน ชอบเจ้า เฝ้าวิ่งหา
“แกก็สุข ฉันก็สุข ทุกเวลา”
แต่ดูหน้า ตาแห้ง ยังแคลงใจ
ถ้าเราเผา ตัวตัณหา ก็น่าจะสุข
ถ้ามันเผา เราก็ “สุก” หรือเกรียมได้
เขาว่าสุข สุขเน้อ อย่าเห่อไป
มันสุขเย็น หรือสุกไหม้ ให้แน่เอ่ยฯ
"ท่านพุทธทาสภิกขุ"

ความสุข เป็นยอดปรารถนาของมนุษย์ที่สามารถแสวงหาได้ ซึ่งแนวทางในการทำตัวให้มีความสุข มีดังต่อไปนี้
1. การรักษาสุขภาพทางกายให้แข็งแรง
สุขภาพทางกายและสุขภาพทางจิตมีอิทธิพลต่อกันและกัน คนที่มีสุขภาพกายดีย่อมส่งผลให้มีจิตใจร่าเริงเข้มแข็ง การทำให้สุขภาพแข็งแรง ได้แก่การรับประทานอาหารถูกส่วน การพักผ่อนเพียงพอ การรักษาความสะอาดของร่างกาย ตลอดจนการออกกำลังกายอย่างพอเพียง
2. มีความสุขกับการทำงาน
การเลือกทำงานที่ชอบหรือการสร้างความพึงพอใจในงานที่ทำ หาวิธีการทำงานให้มีความสุข พร้อมทั้งกำหนดเป้าหมายหลายอย่างภายในขอบเขตที่สังคมยอมรับ ตามความสามารถของตนเอง และมองเห็นหนทางไปสู่ความสำเร็จได้ แล้วลงมือปฏิบัติอย่างตั้งใจก็ย่อมจะเกิดความสุข เกิดความปิติจากความสำเร็จในงานตามมา
3. รู้จักตัวเองอย่างแท้จริง
ควรได้สำรวจตัวเองว่าเป็นคนอย่างไร ต้องยอมรับว่าคนเรามีทั้ง ส่วนดีและส่วนเสีย เราต้องมองหาส่วนดี เห็นคุณค่า ชื่นชม พยายามพัฒนาส่วนดี พร้อมทั้งยอมรับในข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แล้วหาแนวทางปรับปรุงแก้ไข คนที่มีความสุขนั้นไม่ได้หมายความว่าจะไม่เคยพบอุปสรรค ข้อขัดแย้งในใจ หรือไม่เคยพบปัญหา แต่อาจจะเป็นคนที่บางครั้งแก้ปัญหาไม่ได้ จึงต้องใช้ความพยายาม ความอดทน ก็จะสามารถเผชิญปัญหาไปได้
4. มีอารมณ์ขัน มองโลกในแง่ดี
ควรมองหาความสุข ความเพลิดเพลิน เพื่อช่วยลดความตึงเครียดต่างๆ ทำให้อารมณ์ผ่อนคลาย การหัวเราะทำให้จิตใจเบิกบาน มีการกระเพื่อมของหน้าท้อง หัวใจปอดได้ออกกำลัง มีผลถึงกล้ามเนื้อหัวไหล่ แขน หลัง กระบังลม และขา เกิดความพึงพอใจในความสุข นอกจากนี้ไม่ควร มองโลกในแง่ร้าย เวลาจะทำอะไรต้องหาจุดดีของเรื่องนั้นให้พบ เมื่อพบแล้วทำความพอใจและชื่นชม ก็จะเกิดแต่ความดีงาม
5. ไม่ควรเก็บอารมณ์ขุ่นมัว
การเก็บกดอารมณ์ทำให้เกิดความ ขุ่นมัว สับสน วุ่นวายใจ เป็นการก่อให้เกิดความตึงเครียด ทางอารมณ์ ผลทำให้สีหน้าหม่นหมอง น่าเกลียด ขากรรไกรประกบกันแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย เหี่ยวย่น ผมสีเทา-ขาว ผมร่วง โรคผื่นคัน พุพอง และสิวตามมา เราควรต้องหาทางระบายอารมณ์ที่ขุ่นมัว โดยการแสดงออกในทางที่สังคมยอมรับและได้ตอบสนองตามความต้องการของเรา แต่ถ้าพบความยุ่งยากใจเพิ่มขึ้น ก็ควรหาวิธีหลีกเลี่ยงเสียก่อน เนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์จะเผชิญความตึงเครียดทางอารมณ์ได้ถึง ขีดหนึ่งเท่านั้น จากนั้นต้องหาทางผ่อนคลาย ดังคำกลอนที่ว่า
เหนื่อยก็พัก หนักก็วาง
วุ่นก็ให้ว่าง ทุกอย่างก็สบาย

ความเป็นผู้ใหญ่-ความฉลาดทางอารมย์-EQ

ความเป็นผู้ใหญ่ - ความฉลาดทางอารมณ์ - EQ






E.Q.เป็นคำฝรั่งที่ฟังดูโก้เก๋ในสมัยนี้ แต่โบราณเขาจะใช้คำว่า"ความเป็นผู้ใหญ่" ซึ่งก็มาจากความมีสติ+สัมปชัญญะ ในพุทธศาสนาที่ได้อบรมบ่มนิสัยให้บุคคลนั้นรู้จักคิด รู้จักพูด รู้จักวางตัวในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ คนที่มีสติ+สัมปชัญญะดี เมื่อทำแบบทดสอบ E.Q.ก็จะได้คะแนนสูงๆ เกือบทุกคน ดังนั้น E.Q.จึงเป็นสิ่งที่ฝึกเอาได้ถ้าต้องการ การฝึกสติก็มีวิธีทำมากมายโปรดศึกษาเอาเองเถิด อยากบอกว่าคนมีสติ+สัมปชัญญะมากๆ อุปมาเหมือนหนึ่งบุคคลที่อยู่ในห้องแคบๆ สัก 1 ตารางเมตรแล้วมีงูพิษตัวหนึ่งอยู่ด้วยในห้องนั้น ความระแวดระวังงู การเผชิญหน้ากับงูด้วยความกล้าหาญและอยู่ร่วมกับงูด้วยวิหิงสาไม่เบียดเบียนกันได้นั้น ต้องมีสติ+สัมปชัญญะตลอดเวลา

การที่บุคคลจะมีพฤติกรรมอย่างไรขึ้นอยู่กับคุณลักษณะที่มีอยู่ โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ นักจิตวิทยา มีความเห็นว่า I.Q. เป็นเรื่องของความฉลาดของคนเรา ประกอบด้วยหลายๆด้าน เช่น ความฉลาดทางเชาว์ปัญญา การคิด การใช้ เหตุผล การคำนวณ และการเชื่อมโยง ซึ่งในอดีตมีความเชื่อดั้งเดิมว่า คนที่มี I.Q. สูงจะประสบความสำเร็จในชีวิต แต่จากการวิจัยของต่างประเทศพบว่า คนที่มี I.Q. สูงไม่ได้ประสบความสำเร็จเสมอไป แต่ปัจจัยที่ส่งผลให้คนประสบความสำเร็จ คือ ความฉลาดทางอารมณ์ E.Q. ซึ่งช่วยให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และมีความสุข สามารถเข้าใจ จัดการความรู้สึกของตนเองได้ดี เข้าใจความรู้สึกของคนอื่น คือ ความสามารถในการรับฟังและเข้าใจทั้งความหมายตรง ความหมายแฝงตลอดจนสภาวะอารมณ์ของผู้ที่ติดต่อด้วย ด้านการจัดการศึกษาในปัจจบัน(การปฏิรูปการศึกษา) มีเป้าหมายให้ผู้เรียนมีลักษระอันพึงประสงค์คือ เป็นคนดี (M.Q) คนเก่ง (I.Q )และ มีความสุข(EQ)

ดังนั้น การพัฒนาความฉลาดทางเชาว์ปัญญา ความฉลาดทางศีลธรรม การพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ หากนำความฉลาดดังกล่าวมาพัฒนาตนเอง ก็จะเป็นรากฐานที่ทำให้สังคมมีความสุข ความเจริญได้อย่างแท้จริงและยั่งยืนต่อไปอย่างแน่นอน

ฉลาดทางอารมณ์ = ฉลาดคิด+ ฉลาดพูด + ฉลาดทำ
ฉลาดคิด ---> ควบคุมความคิดได้ คิดในทางที่ดี คิดในทางสร้างสรรค์
ฉลาดพูด ---> เลือกพูดแต่สิ่งที่ดี มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงคำพูดที่จะทำให้คนเองและบุคคลอื่นเดือดร้อน
ฉลาดทำ ---> "ทำเป็น" ไม่ใช่แค่ "ทำได้" มีความรู้ความเชี่ยวชาญในงานนั้น ๆ



วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

คำคมน่าคิดจากหนังสือ "ความรู้สึกคือเหตุผลอย่างหนึ่ง"


คุณค่าที่ดีที่สุดของ"ประสบการณ์"


ไม่ใช่การสอนว่าเรา "ควรทำ"อะไร


แต่อยู่ที่การเตือนสติว่า เรา"ไม่ควรทำ" อะไร


คำสบประมาท คือ พลังงานรูปแบบหนึ่ง


ทุกครั้งที่ใครบอกว่าเราทำไม่ได้


จงขอบคุณเขา แล้วทำให้ได้!!!


คำว่า "แรงกดดัน" หมายความว่า...


เมื่อมีแรง "กด"ให้ตัวเราต่ำลง


เราจะไม่ยอมแพ้


แต่จะสู้ด้วยการ "ดัน"ตัวเองให้สูงขึ้น

ปัญญาไม่ได้มีอยู่แต่ในมหาวิทยาลัย แต่อยู่ในจิตใจที่ใฝ่รู้


การเรียนรู้

แก้วที่คว่ำอยู่กลางสายฝน
ต่อให้ฝนตกกระหน่ำทั้งคืน
ก็ไม่อาจเต็มไปด้วยน้ำ

คนที่ไม่ยอมเปิดใจเรียนรู้
ต่อให้คลุกคลีอยู่กับนักปราชญ์
ทั้งคืนทั้งวัน
ก็ยังโง่เท่าเดิม

ใฝ่เรียนใฝ่รู้


การเรียนรู้เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้คนเราประสบความก้าวหน้าได้ทั้งในเรื่องชีวิตและ การงาน
และยังเป็นการเปิดโลกให้กว้างขึ้น หากใครมีกำลังวางแผนจะเที่ยวหรือไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ
ซึ่งสถานที่แห่งนั้นมีสิ่งใหม่ ๆ รอให้เรียนรู้อยู่มากมาย หากสิ่งใดที่เราไม่รู้ ก็ขอให้เปิดใจให้กว้าง
เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตเราและสามารถนำมาต่อยอดเป็นประโยชน์ให้แก่สังคมได้


บางคนขณะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทย ทุกสิ่งทุกอย่างสะดวกสบาย อะไรก็รู้ไปหมดเพราะสภาพแวดล้อม
เป็นประเทศไทยของเรา คนไทย และการใช้ภาษาไทย แต่เมื่อไปอยู่ต่างประเทศซึ่งต่างวัฒนธรรม ต่างภาษา
เราต้องมีการเรียนรู้และปรับตัว บางครั้งผู้เขียนได้เดินทางไปต่างประเทศ หลายสิ่งหลายอย่างก็ไม่รู้
แต่ผู้เขียนก็ลองเรียนรู้ดู ลองไปขึ้นรถไฟเอง ลองเดินทางเอง ลองทำหลายสิ่งหลายอย่างที่พระสามารถทำได้
นั่นคือ เราจะฉลาดจากการที่เราโง่ หรือ ไม่รู้ หรือ ทำผิดพลาดมาก่อน


เรื่องความโง่ความฉลาดนี้ ผู้เขียนมองว่า จริง ๆ แล้วไม่มีคนโง่ที่แท้จริงหรอก มีแต่ว่าเขายังไม่รู้
และเรายังค้นหาวิธีที่จะสอนเขาไม่เจอก็เท่านั้น ถ้าผู้ใหญ่จะสอนเด็ก เวลาเห็นเด็กไม่เก่ง ทางที่ดีผู้สอน
ควรจะพูดกับเด็กว่า เธอยังพยายามน้อยไปไหม หรือลองตั้งต้นใหม่อีกทีสิลูก
ซึ่งดีกว่าไปตัดสินว่า เด็กคนนั้นเป็นคนไม่มีคุณค่า หรือทำสิ่งใดไม่ได้เรื่องสักอย่าง


ขณะเดียวกันสำหรับผู้ใหญ่ ในโลกของการทำงาน หากงานใดที่เราทำไม่เป็น ถ้าเพื่อนร่วมงานหรือเจ้านาย
แนะนำก็ควรฟัง หรือควรพยายามเรียนรู้ด้วยตัวเองให้มากที่สุด แต่หากบุคคลใดที่ทำงานไม่เป็นแล้วยังมัว
ถือเนื้อถือตัวว่า เฮ้ย ฉันรู้น่ะ แกไม่ต้องมาบอกฉันรู้ของฉันดี หากพูดอย่างนี้ นอกจากมองไม่เห็น
หนทางก้าวหน้าแล้ว เพื่อนร่วมงานก็ยังไม่รัก ไม่ใส่ใจอีกแล้ว ขอให้เราเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน
เหมือนแก้วน้ำที่มีน้ำเพียงครึ่งแก้ว เพราะแก้วที่มีน้ำเพียงครึ่งแก้วจะสามารถเติมน้ำได้เสมอ
แต่หากเราทำตัวเป็นแก้วที่มีน้ำเต็มอยู่แล้ว ใคร ๆ ก็ไม่อยากเติมอะไรให้ ใคร ๆ ก็ไม่อยากมาสอนเรา


ฉะนั้น ในโลกของการเรียนรู้ อย่าไปคิดว่าเรารู้แล้ว ให้คิดว่าเรานี่ไม่รู้อะไรเลย ช่างกระจกเสียจริง
เรื่องอะไร ๆ ก็ไม่รู้
หากทุกตัวเช่นนี้แล้วผู้อื่นเขาก็อยากจะสอนเรา แต่ถ้าเราทำเป็นรู้ทุกอย่าง
นั่นคือเรากำลังทำตัวเป็น เต่า เป็นสัตว์โลกล้านปี อายุยืนกว่าสัตว์โลกทั้งหมด แต่ทำไมเต่าจึงไม่โตขึ้น
แม้ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ตามนั่นเพราะเนื้อของเต่าขยายตัวไม่ได้ เนื่องจากกระดองของมันแข็งและหุ้มเนื้อตัว
ของมันได้


บุคคลใดที่ทำตัวแข็งกร้าว ไม่อ่อนน้อม ใครแนะนำก็ไม่ฟัง เขาคนนั้นจะเป็นเหมือนเต่า นั่นคือขยายตัวไม่ได้
ต่อให้มีอายุเป็นล้านปี ก็โตไม่ได้ ต่างกับ มนุษย์ซึ่งเกิดมาโตขึ้นทุกวัน ๆ เพราะมนุษย์รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน
และปรับตัวได้ตลอด


มนุษย์คนไหนที่เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ คนคนนั้นจะเป็นคนที่มีเสน่ห์ น่าพูดคุยด้วยและประสบความสำเร็จ
ในชีวิตได้ เช่นเดียวกับ บิล เกตต์ถึงแม้เขาจะเรียนไม่จบ แต่กลับพบความสำเร็จ ที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตและการงาน
นั่นเพราะเขาเป็นคนใฝ่เรียนรู้ด้วยตนเอง นี่แสดงให้เห็นว่า ...


ปัญญาไม่ได้มีอยู่แต่ในมหาวิทยาลัย แต่อยู่ในจิตใจที่ใฝ่รู้

วันนี้หากเรายังเป็นลูกน้องเขา แต่ถ้ารักการเรียนรู้ วันหนึ่งก็จะกลายเป็นนาย กลายเป็นหัวหน้า
แต่หากไม่รักการเรียนรู้ วันนี้เป็นลูกน้องเขา ปีหน้าก็เป็นลูกน้อง ปีต่อไปก็เป็นลูกน้องตลอดไป
เช่นนี้แล้วเมื่อไรจะเป็นหัวหน้าคน เพราะฉะนั้น ถ้าเราเรียนรู้อยู่เสมอ ในอนาคตก็จะสามารถเป็นผู้นำได้


บุคคลใดใฝ่เรียนใฝ่รู้ คนคนนั้นจะกลายเป็นยอดคน ตรงกันข้าม บุคคลใดไม่เป็นคนใฝ่เรียน ใฝ่รู้
คนคนนั้นจะเป็นคนที่เห็นแก่ท้ายทอยคนอื่น เมื่อไรจะขึ้นมาอยู่ข้างหน้าบ้าง เมื่อไรจะกลายเป็น
ผู้นำ (Leader) ถ้าไม่เป็นคนใฝ่เรียนใฝ่รู้ เราก็จะต้องเป็นผู้ตาม(Follower) อยู่เช่นนั้นตลอด


.............................................................................................................................................

เพียงแค่รู้ัจักเปิดใจเรียนรู้ ยังมีสิ่งดี ๆ ในโลกให้ดูีอีกมากมาย

... (๙ เรื่องเพื่อความก้าวหน้า : ท่าน ว.วชิรเมธี)