คำคม

ปัญหามีไว้ให้หาปัญญา อุปสรรคมีไว้ให้ฝึกหาทางออก วันไหนที่มีความสุข วันนั้นอย่าทำความสุขในชีวิตหล่นหาย

วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

มุมมองที่แตกต่าง

เหมือนกับเหรียญที่ย่อมต้องมีสองด้านด้วยกัน
คนเรานั้นเมื่อยืนอยู่บนจุดที่สูงจนสามารถมองลงมาเห็นผู้อื่นได้
ก็อาจต้องยอมแลกกับบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้ได้มายืนตรงจุดนี้ 
ก็อาจต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวด มิตรภาพแสนนาน
ความเปลี่ยวเหงาเดียวดาย ความหวาดกลัวระแวงระวัง
หรือแม้แต่การแลกมาด้วยความสุขก็อาจมีคนบางคนยอมแลกเช่นกัน
และเมื่อเราได้แลกมาด้วยอะไรก็ตามแล้ว
เราจำเป็นต้องยอมรับมัน ยอมรับกับความจริงที่เกิดให้ได้
เพราะเรานั้นเป็นผู้ที่เลือกทางเดินและจุดยืนให้กับชีวิตของเราเอง
นอกเหนือไปจากนี้เราจะต้องยอมรับกับอีกสิ่งหนึ่ง
ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวเราในอนาคตอันใกล้
หากเราพลาดพลั้งและพลัดตกลงมาจากบัลลังก์อันสูงลิบ
เราย่อมต้องเจ็บหนักเป็นธรรมดาจากความสูงสุดฟ้าที่เรายืนอยู่"
"แค่เพียงการยืนอยู่ในจุดที่แตกต่าง ก็ทำให้เรามองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย"
เหมือนเราถ่ายรูปเช่นกันใช่มั้ยครับ เพียงเรามองต่าง เราก็สามารถมองสิ่งเดียวกันได้หลากหลายน่าสนใจต่างกัน
มีนิทานเรื่องตะเกียง ที่สอนให้คนมองให้รอบด้านก่อนตัดสินใจ ไม่ควรด่วนตัดสินใจในสิ่งที่ตนเห็น ในมุมที่ตนอยู่ แต่ให้เราเดินไปมุมที่คนอื่นเขานั่งอยู่และดูในมุมเขา เราพบ เสียงสีที่ต่างของตะเกียงจริงๆ
เราขัดแย้งเพราะ เรายึดมั่นในแสงสีตะเกียงที่เราเห็น หารู้ไม่ว่า ทุกมุมของตะเกียงนั้น ให้สีต่างกัน แต่ละคนแต่ละมุมก็เฝ้าเถียงกันว่า ของตัวเองบอกสีถูกต้อง...
เป็นที่มาของความขัดแย้ง...
เราจึงไม่ควรมองสิ่งที่เห็นเพียงด้านใดด้านหนึ่ง แล้วด่วนสรุปคุณค่าของสิ่งนั้น

วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

"ทำให้ตัวเองสง่างามขึ้น" ... (ต้นกล้า นัยนา)

ตัวของเราเอง จะเป็นอย่างไร จะร้ายหรือดี มันก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเอง
เพราะฉะนั้น หากเราทำอะไร สิ่งที่เราทำนั้นมันก็เป็นเหมือนกระจกสะท้อนตัวเราเอง
เลือกเส้นทางเดินของเราเอง เลือกวิถีชีวิตของเราเอง และเลือกที่จะเป็นในแบบฉบับของตัวเอง
๑.ทำอะไรลวก ๆ ก็จะได้ผลลัพธ์แบบนั้น
ทำอะไรด้วยความตั้งใจ ผลที่ได้ก็จะน่าภูมิใจ เราทำอะไรอย่างไร มันก็เป็นกระจกสะท้อน ตัวของเราเอง
 ๒.อ่านหนังสือ การอ่านหนังสือนั้นไม่ได้ทำให้เราสูญเสียอะไร
อ่านหนังสือ นิตยสาร ข่าวหนังสือพิมพ์ มันจะช่วยให้เราได้เรียนรู้มากยิ่งขึ้น
 ๓.อยู่ใกล้ ๆ คนที่ขยัน คนที่กระตือรือร้น คนที่ทำงานอยู่เสมอ
คนที่สม่ำเสมอ เราจะซึมซับเขามาโดยไม่รู้ตัว
มีอีกมุมคิดหนึ่ง คือ ... อยู่ใกล้ใครเราจะเป็นคนอย่างนั้น
แต่บางทีเราอาจจะต้องทำตัวเป็นคนที่น่าเข้าใกล้
เพื่อคนรอบตัวจะได้อยากอยู่ใกล้ ๆ เรา
 ๔.หางานอดิเรกทำ ทำในสิ่งที่ชอบ บางทีงานอดิเรกอาจจะทำให้เราไม่ต้องทำงานประจำเลยก็ได้งานอดิเรกก็คือ งานที่เราชอบ งานที่เรารัก งานที่เรามีความสุข
เราอยากจะทำอะไรก็ทำได้ แค่เพียงให้โอกาสตัวเอง
 ๕.เขียนไดอารี่ส่วนตัว มันจะทำให้เราได้คุยกับตัวเอง ทำให้เรามีเวลาตรวจสอบตัวเอง ตรวจสอบความฝันและเป้าหมายตัวเอง ไดอารี่จะเหมือนเพื่อนสนิทที่เราได้ถ่ายทอดความคิด ช่วงเวลาที่เรามีความสุข ช่วงเวลาที่เราเศร้า บางครั้งเราก็แก้เหงาได้ด้วยการนั่งคุยกับตัวเอง นั่งเขียนสมุดบันทึก บางวันเราก็อาจจะระบายเรื่องอึดอัดไม่สบายใจลงไปในสมุดบันทึก มันทำให้เราเห็นว่าเราเป็นใคร เรากำลังทำอะไรอยู่ เป็นได้แม้กระทั่งเพื่อนคุย หรือที่ระบาย
 ๖.อย่ากลัวถ้าจะต้องล้มเหลว อย่าอายถ้าบางทีเราพ่ายแพ้บ้าง เราไม่จำเป็นต้องชนะตลอด ไม่จำเป็นต้องเก๋ ต้องเด่นกว่าคนอื่นตลอดเวลา คนที่ไม่กลัวล้มเหลวจะเป็นคนสง่า เพราะหลังจากที่เขามีความพร้อมและเข้าใจสิ่งที่จะทำอย่างดีแล้ว เขาก็จะทำ คิด พูด สร้างสรรค์อย่างมั่นใจ คนที่มีความมั่นใจ จะมีความสง่างาม และมีเสน่ห์ในตัวเอง
 ๗.อย่าผิดนัด เป็นคนตรงต่อเวลา
เพียงเรื่องง่าย ๆ ก็จะทำให้เราเป็นคนที่โดดเด่นกว่าคนอื่น
ถ้าเราจะต้องสร้างวินัยและให้ความเคารพคนรอบข้างด้วย
เรื่องง่าย ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ มักเป็นเรื่องใหญ่ที่งดงามเสมอ
 ๘.ใช้ภาษาร่างกาย มีท่วงที กิริยาที่ดี
อย่ามองว่า มันเป็นเรื่องเล็กน้อยแล้วจึงไม่อยากทำ ไม่ลงมือทำ ไม่เริ่มต้นทำ
เพราะการใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อย
มันจะส่งผลกระทบด้านดีให้กับตัวเราเอง
 .มีความรักและมีไฟในสิ่งที่ทำอยู่
เมื่อใดก็ตามที่เรารักในสิ่งที่เราทำ
เราจะทำได้ดีและไม่รู้สึกเหนื่อย
มีไฟคือความอยากและกระตือรือร้นที่จะทำ
และทุ่มเทอย่างเต็มที่
 ๑๐.เพิ่มค่าให้กับงานที่ทำ ทำงานให้ได้ผลดีมากขึ้นในจำนวนเวลาเท่าเดิม
มีสมาธิ ตั้งใจ แน่วแน่ เสียเวลาให้น้อยลง ทำงานได้มากขึ้นและดีขึ้น
 ๑๑.ท้าทายสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ
อย่ากลัวที่จะต้องเริ่มทำสิ่งใหม่ ๆ อย่ากังวลถ้ามีความคิดดี ๆ
ยกมือขึ้น...แสดงความคิดของเราออกไป
คนที่ไม่เคยทำผิด...คือ คนที่ไม่เคยทำอะไรเลย
 ๑๒.สร้างคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น
สูดอากาศบริสุทธิ์ อยู่ห่างจอทีวีบ้าง อ่านหนังสือ แหงนมองฟ้า
หาเวลาดูดาวในตอนกลางคืน ฟังเพลง ร้องเพลง เต้นระบำ
 ๑๓.กินอาหารที่มีคุณภาพต่อร่างกาย
งด...หรือถ้างดไม่ได้จงลด
เจ้าพวกเครื่องดื่มที่ทำให้แก่เร็ว แก่ง่าย
และคุมสติตัวเองไม่ได้ทั้งหลาย
ดื่มแต่พอสนุก...เมื่อไรที่เริ่มไม่รู้สึกสนุกแล้วก็จง หยุด
 ๑๔.ใช้ชีวิตอยู่เพื่อวันนี้
แต่ก็อย่าลืม มองไปข้างหน้าด้วย ประเด็นก็คืออย่าไปพะวงถึงเรื่องที่ยังมาไม่ถึง อย่าไปกังวล
ถึงเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องที่เป็นไปได้ คือเรื่องที่เราลงมือทำ และทำด้วยตนเองคิดช่วยเหลือตัวเองก่อน ก่อนที่จะคิดหวัง รอ...หรือขอให้ใคร มาช่วยเหลือเรา
 ๑๕.เข้าใจตัวเอง รู้กำลังตัวเอง รู้จักตัวเอง รู้ความสามารถของตัวเอง และใช้มันให้เต็มที่
 ๑๖.ตั้งเป้าเล็ก ๆ เอาไว้ แล้วทำให้สำเร็จ
อย่าเพลินฉลองความสำเร็จจนลืมก้าวต่อไป
ขอบคุณหนังสือดี ๆ
ต้นกล้า นัยนา.  แค่เปลี่ยนมุมคิด โลกก็เปลี่ยนแล้ว.  กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๔๗.

★☆ ~ Essential Tips for People Management ~ ★☆


- องค์กรหลายๆ องค์กรมักพูดว่า 'คนคือทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด' แต่ปัจจุบันความเชื่อนี้เปลี่ยนไป ไม่ใช่คนทุกคนเป็นทรัพยากรที่มีค่าสำหรับองค์กร หากแต่เป็นเพียงแค่คนบางคนเท่านั้นที่มีค่า
- การพัฒนาผู้นำหมายถึงการที่ทำให้ผู้นำได้รู้จักตนเองและพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนตนเองในทักษะต่างๆ ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
- การกำหนดความก้าวหน้าในสายอาชีพสำหรับพนักงานในองค์กรคือการบริหารคนและเป็นการปูทางสู่การสร้างพนักงานที่มีค่าให้แก่องค์กรในระยะยาว
- ...เมื่อวางรากฐานที่ดีจากภายใน ย่อมส่งผลดีสะท้อนสู่ภายนอกเช่นนั้นเสมอ
- ลูกน้องมีอยู่ 4 แบบ
- แบบแรก "พวกทำได้และอยากทำด้วย"
- แบบที่สอง "พวก (ยัง) ทำไม่ได้แต่อยากทำ"
- แบบที่สาม "พวกทำได้แต่ไม่อยากทำ"
- แบบที่สี่ "พวกที่ทำไม่ได้และไม่อยากทำด้วย"
- แนวคิดของ Peter Drucker "ครั้งหนึ่งของบรรดาผู้นำหรือผู้บริหารที่เก่งๆ บางครั้งอาจไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะทำอะไรเพิ่มเติมเลย แต่ควรเรียนรู้ที่จะหยุดทำบางสิ่งบางอย่างต่าวหาก นั่นเพราะเราใช้เวลาในการพยายามสอนผู้นำให้ทำสิ่งนั้นอยู่เสมอ แต่ไม่เคยใช้เวลาในการสอนให้พวกเขาเหล่านั้นได้หยุดคิด หรือหยุดทำบางสิ่งบางอย่างเลยแม้แต่น้อย"
- ...เรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้นำที่จะต้องพัฒนาศักยภาพเพื่อผู้อื่นด้วย กล่าวคือ ต้องมีความน่าเชื่อและไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนในสายตาของผู้อื่น มีทักษะการสื่อสารและเชื่อมโยงที่ดี สามารถทำให้ลูกน้องและเพื่อนร่วมงานรู้สึกไว้วางใจและเชื่อมั่นในตัวคุณได้
- การเป็นหัวหน้าที่ดีอาจไม่จำเป็นต้องเก่งกว่าลูกน้องเสมอไปก็ำได้ เพราะหัวหน้าอาจไม่มีความชำนาญในเรื่องนั้นๆ โดยตรง แต่ก็ควรต้องมีความรู้พื้้นฐานในเรื่องดังกล่าว
พอสมควร เพื่อที่จะเข้าใจได้ว่าลูกน้องกำลังทำงานอะไร และหากมีปัญหาจะพอช่วยเหลือหรือ
หาทางออกอย่างไรได้บ้าง
- ...3 Do คือ 'I do-We do-You do'
- คนเรามักมีทักษะในการจับผิดติดตัวมาตั้งแต่เด็ก แต่ทักษะที่ขาดหายไปคือทักษะในการจับถูก ซึ่งไม่ค่อยมีใครสอนและไม่ค่อยมีใครทำ

สมองดีด้วย 5 วิธีง่าย ๆ

เมื่อ “สมอง” ล้า ย่อมต้องการออกกำลังกายเหมือนกัน เรามีวิธีล็อกความแข็งแรง เติมประสิทธิภาพการทำงานของสมองมาฝาก ทำไม่ยาก!!


ใช้หน่วยความจำให้บ่อย เริ่มจากจำเส้นทาง เบอร์โทรศัพท์ของเพื่อนๆ หรือญาติ แทนการเปิดหาจากสมุด รวมถึงเรียนรู้คำศัพท์ภาษาต่างประเทศทุกสัปดาห์ จากนั้น ลองท่องในสิ่งที่จำนั้นออกมา เท่านี้ก็สามารถประเมินศักยภาพสมองได้ในเบื้องต้น

สนทนา และหมั่นคิดวิเคราะห์ เนื่องจากการพูดคุย และร่วมแสดงความเห็นในประเด็นต่าง ๆ จะกระตุ้นกระบวนการคิด นอกจากนั้น การอ่านหนังสือพิมพ์ติดตามข่าวสาร หรือดูรายการที่ให้ความรู้แล้ววิเคราะห์ตาม ก็จัดเป็นอาหารดีสำหรับสมองเช่นกัน

ลับสมองด้วยงานอดิเรก และปริศนาปัญหา อย่างในวันว่างกับงานศิลปะ เช่น วาดภาพ วาดการ์ตูน ออกแบบเสื้อผ้า นอกจากกระตุ้นการฝึกคิดแล้ว ยังช่วยพัฒนาอารมณ์ด้วย รวมถึงปัญหาต่าง ๆ ระหว่างวัน เพียงคิดบวก พยายามแก้ไขหาทางออก ก็ถือเป็นความท้าทายของสมองรูปแบบหนึ่ง ดังนั้น ไม่ต้องกลัวปัญหา

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ในต่างประเทศพบว่า การออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นให้สารเอ็นดอร์ฟินในสมองถูกปล่อย ทำให้สดชื่น ลดเครียด พร้อมเริ่มต้นเก็บข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

พักผ่อนให้พอเหมาะ โดยไม่นอนน้อย หรือมากจนเกินไป นอกจากนี้ การทำสมาธิ ยังเปรียบเหมือนยาชูกำลัง และยารักษาโรคที่ดีสำหรับจิตใจด้วย ทั้งยังส่งผลต่อสมองพร้อมเปิดรับสิ่งใหม่


 ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

องศาที่ 361


* ชีวิตของเราแต่ละคน ที่มีจุดเริ่มตันไม่เหมือนกัน และเมื่อโตขึ้นมาก็ต้องเจอทางแยกที่ต้องตัดสินใจไม่เว้นแต่ละวันว่าจะเดินไปบนถนนเส้นใด
* เราถนัดมองหาความสุขจากที่อื่น และถนัดที่มองเห็นแต่ความทุกข์จากสิ่งที่เรามี
* ...จากเดิมเคยหกล้มสิบครั้ง วันนี้หกล้มเก้าครั้ง สิ่งที่ควรทำคือ ชื่นชมที่หกล้มน้อยลง ไม่ใช่ตำหนิที่ยังหกล้มอยู่ จากเคยทำผิดสิบครั้ง วันนี้ทำผิดเจ็ดครั้ง สิ่งที่ควรทำคือ ให้กำลังใจที่ทำผิดน้อยลง ไม่ใช่ตำหนิที่ยังทำผิดอยู่
* มนุษย์เราจะรู้จักว่าตัวเองมีคุณค่าก็ต่อเมื่อเขาเคยสามารถสัมผัสได้ถึง ความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง คนเราจะรู้สึก ความรักก็ต่อเมื่อได้สัมผัสความรักที่แท้จริง
* ขอเพียงมีโอกาส มนุษย์เราก็อยากเลือกเป็นคนดี เนื้อแท้ของมนุษย์ทุกคนไม่ได้อยากจะทำชั่วร้ายใคร แต่การเติบโตที่ไร้เข็มทิศ ขาดโอกาสที่จะได้ซึมซับสิ่งดีๆ ทำให้หลายๆ คนเริ่มต้นชีวิตด้วยวิธีการที่ผิด ต้องทำผิดช้ำๆ เพื่อเอาตัวรอดจนกลายเป็นความเคยชิน

* ....หลายต่อหลายคนจึงแสวงหาการยอมรับในวิถีทางผิดๆ พาตัวเองเข้าสู่กับดักของชีวิต เพียงเพราะต้องการการยอมรับ อยากจะเป็นเหมือนคนอื่น อยากจะมีเหมือนคนอื่น อยากจะเป็นส่วนหนึ่งในสังคม
* คุณค่าในตัวเราไม่ได้ลดลงเลย แต่เราเองเป็นคนยื่นมือมองคุณค่าในตัวเองให้คนอื่นเป็นคนประเมิน
* ...เราทุกคนไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม เราทุกคนมีข้อบกพร่องและมีจุดที่ยังจะต้องพัฒนา เพียงแต่ถ้าเราคอยบั่นทอนตัวเองด้วยการตำหนิตัวเองตลอดเวลา มองตัวเองเห็นแต่แง่ลบ เหมือนเอาแว่นขยายส่องแต่ข้อเสียที่เรามี ไม่เคยให้กำลังใจ ไม่เคยชื่นชมเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต หรือเผลอไผลคอยแต่รอให้คนอื่นบอกว่าตัวเราดีหรือไม่ดี...เราก็สูญเสียโอกาสที่จะค้นพบความงดงามภายในตัวเอง

* คนบางคนมองว่า "โชคดี" ที่ได้เจอนั้นเป็นมากกว่าโชค มากกว่าความบังเอิญ แต่โชคที่ได้รับเป็นเหมือนสัญลักษณ์อะไรบางอย่าง เป็นหลักฐานว่าใครบางคนเบื้องบนเฝ้ามองอยู่ ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายแล้วมนุษย์ก็จะมีผู้มาช่วยเหลือ นั่นทำให้คนกลุ่มนี้เมื่อเผชิญปัญหาเขาอาศัยอยู่ได้ด้วย "ความหวัง"
* บางสิ่งที่ดำรงอยู่อาจไม่สามารถใช้มาตรวัดทางวิทยาศาสตร์เป็นตัวพิสูจน์ว่ามีหรือไม่มี ความสำคัญของการศรัทธาไม่ได้อยู่ว่าพระเจ้ามีอยู่จริงหรือไม่ ความสำคัญของการได้รักไม่ได้อยู่ที่ว่าได้อยู่ชิดใกล้หรืออยู่ห่างไกลกัน คุณค่าของความศรัทธาหรือความรักไม่ได้อยู่ที่การมีหรือไม่มีหลักฐาน แต่มาจากประสบการณ์ภายในที่เราได้สัมผัสและเก็บไว้ในใจ
* การไม่มีตัวตน ไม่ได้แปลว่ามันไม่คงอยู่
* มนุษย์เรานั้นหากปล่อยให้เมล็ดพันธุ์ ความเชื่อผิดๆ ถูกปลูกไว้ในใจ เมื่อเติบโตหยั่งรากลึกในใจเราจนกลืนความคิด มันย้อนส่งผลให้เราไม่ได้แปลความจริงตามสิ่งที่เป็นอยู่ แต่เราแปลความอย่างที่ใจคิด

* ขอเพียงมนุษย์ปลูกเมล็ดพันธุ์ของความดีงาม ถึงจะเติบโตพร้อมกับรูปแบบความศรัทธาที่แตกต่าง สุดท้ายคือย่อมแตกดอกออกผลเป็นความดีงามให้เชยชม
* ไม่ว่าจะหนึ่งเปอร์เซ็นต์หรือเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ มันก็คือความหวังและมันก็ยังมีสิทธิเป็นไปได้ สำคัญที่ว่าเจ้าตัวนั้น ตั้งต้นที่ความเชื่อมั่น หรือเชื่อว่ามันเป็นเพียงความฝันที่เป็นไปไม่ได้
* คนที่มีเป้าหมายและตั้งต้นด้วยความเชื่อมั่นว่า ความฝันของตัวเองเป็นไปได้ ถึงสุดท้ายจะไปไม่ถึงฝั่ง แต่ความฝันก็ทำให้การมีชีวิตของพวกเขาอยู่อย่างมีคุณค่า เช่นหลายคนที่ค้นพบว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตไม่ใช่การได้ไปถึงความฝัน แต่คือช่วงเวลาที่ได้เดินทางตามความฝันของตัวเอง
* ตั้งเป้าหมายแล้วมุ่งไปถึงดวงจันทร์ แม้สุดท้ายจะไปไม่ถึง แต่อย่างน้อย ณ จุดนั้นเราก็ได้อยู่ท่ามกลางดวงดาว
* ...ไม่มีหรอกความฝันที่เป็นไปไม่ได้ มีแต่ความฝันที่นั่งรอคอยว่าเจ้าของความฝันจะกล้าเดินทางมาหาอยู่หรือเปล่า
* ความจนไม่ใช่ข้ออ้างที่เราจะขโมยของใคร

* ...ชีวิตที่คิดว่าสู้เต็มที่ จนอยากยกธงยอมแพ้ ชีวิตที่คิดว่าไม่มีอะไรหลงเหลืออีกแล้ว อยู่ไปก็ไร้ค่า แน่ใจแล้วหรือว่าเราสู้เต็มที่แล้ว แน่ใจแล้วหรือว่า ความยากจนคือชีวิตที่ไร้คุณค่า
* ...เงินก้อนหนึ่งอาจช่วยเราได้แค่ครั้งเดียว แต่ความรักและศรัทธาที่คนใกล้ตัวมอบให้ จะเป็นน้ำทิพย์ที่หล่อเลี้ยงหัวใจให้ต่อสู้ได้ชั่วชีวิต
* ไม่ใช่เขาที่ไม่ได้ เพียงแต่ยังไม่มีใครเหมาะสมสำหรับเขาเท่านั้นเอง
* คุณค่าของเราไม่ได้ขึ้นอยู่การถูกเลือกหรือไม่ถูกเลือก
* คนที่ตัดสินใจเลือกก้าวไปข้างหน้า ย่อมสามารถสร้างปัจจุบันและอนาคตได้ดั่งต้องการ
* ความสำเร็จให้เราได้แค่คำชมเชย ในขณะที่ความล้มเหลวนั้นกลับไปให้อะไรดีๆ แก่เรามากกว่านั้น
* ความล้มเหลวช่วยให้เราเรียนรู้ข้อบกพร่อง ความผิดหวังทำให้เราแข็งแกร่งและเติบโต ทุกหนึ่งแผลที่เราล้มเราจะเรียนรู้ว่า เราจะเดินอย่างไรไม่ให้ล้มอีก ทุกหนึ่งหยดน้ำตาที่เราร้องไห้ เราจะเติบโตขึ้นและรู้ว่าเราจะใช้ชีวิตเช่นไรที่ไม่ต้องปาดน้ำตาอีก
* ความล้มเหลวหรือความผิดหวังคือสัญลักษณ์ของคนที่ไม่ได้ใช้ชีวิตนิ่งเฉย แต่เป็นคนที่กล้าต่อสู้กับปัญหา

* ไม่สำคัญว่าเราปล่อยหมัดใส่คู่ต่อสู้ได้หนักแค่ไหน แต่สำคัญที่ว่าเรารับมือกับหมัดหนักๆ ของคู่ต่อสู้ได้มากเพียงใด ไม่สำคัญว่าเราจะชนะหรือประสบความสำเร็จได้มากเพียงใด แต่สำคัญที่ว่าเมื่อเราประสบปัญหา เราสามารถยืนหยัดรับมือกับมันได้มากเพียงใด เราจะลุกขึ้นสู้หลังจากล้มลงได้บ่อยแค่ไหน
* เวทีชีวิตไม่ได้มีจำนวนยกเหมือนเวทีมวย เรามีโอกาสลุกขึ้นสู้ได้ทุกครั้งตราบที่ยังมีลมหายใจ และตราบที่ใจยังไม่ยอมแพ้
* ...เราทุกคนล้วนมีน้ำที่ไม่เต็มแก้ว ขึ้นอยู่กับว่าเรามองน้ำในแก้วตัวเองอย่างไร ระหว่างครึ่งแก้วที่ว่างเปล่ากับครึ่งแก้วที่มีน้ำอยู่
* เราถนัดมองหาความสุขจากที่อื่น และถนัดที่จะมองเห็นแต่ความทุกข์จากสิ่งที่เรามี
* ทุกครั้งที่เราเปิดหน้าต่าง เพียงลืมตาเราอาจแค่เห็น แต่วันใดที่เราเปิดใจ เราจะเห็นมากกว่าที่ตามอง
* สังคมที่ทดสอบบทต่างๆ ถูกส่งมาท้าทายให้เราต้องเลือกเดินและเลือกตัดสินใจ การตัดสินใจที่บางครั้งเราต้องเลือกว่าเราจะเห็นแก่ตัวเองมากแค่ไหนหรือเราจะแคร์คนอื่นมากเพียงใด เราสามารถที่จะทำลายความฝันของเพื่อนเพื่อเอาตัวรอดหรือไม่ เราพร้อมหรือไม่ที่จะเหยียบย่ำความฝันของคนอื่นเพื่อไปให้ถึงฝั่งฝันของตัวเอง

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ความสุขของเรา มีเท่ากัน


...ความสุขของเรานั้นไม่แตกต่างกัน เพราถ้าจะมองอีกด้านของชีวิต ทุกคนบนโลกนี้ต่างก็ประสบปัญหาเหมือนกันหมด อาจจะหนักบ้าง เบาบ้าง มากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่ว่าชีวิตอยู่ตรงช่วงไหน แต่การที่คนบางคนมีความสุขมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับกระบวนการทางความคิดของแต่ละคน ถ้าคิดในด้านบวกเยอะ ๆ ความสุขก็จะมีมากขึ้นตามมาด้วย
- และคนที่มีความสุขมาก ๆ นั้น ส่วนใหญ่จะมองให้ต่ำเข้าไว้ มองคนที่ด้อยกว่า เพราะในขณะที่รู้สึกว่าตัวเองแย่ แต่ก็ยังมีคนที่แย่ยิ่งกว่าอีกมากมาย...
- โลกนี้สร้างมนุษย์ขึ้นมาให้มีความแตกต่างอย่างตั้งใจ ด้วยว่าความแตกต่างนั้นจะสร้างความสมดุลของความสุขให้กระจายไปสู่ทุกคนที่ไม่ต้องเหมือนกันอย่างเท่าเทียม เป็นการสร้างความได้เปรียบและเสียเปรียบกันคนละด้าน เพื่อให้แต่ละคนมีจุดเด่นแตกต่างกันไป

- ชีวิตคนเรานั้นเกิดจากสิ่งที่เราคิด ไม่ใช่สิ่งที่เราทำ
- จะเหนื่อยกับสิ่งที่ใช่ หรือทรมานใจกับสิ่งที่ต้องฝืน
-...คนที่ฉลาดมักจะอาศัยความผิดพลาดของผู้อื่น เพราะไม่จำเป็นที่เราจะต้องลองเองทุกเรื่องเสมอไป...

- ชีวิตที่สมบูรณ์แบบในแบบฉบับของชีวิตจริง ก็น่าจะเป็นชีวิตที่ประกอบด้วยสิ่งที่สมหวัง และพลาดหวัง ผสมปนเปกันอย่างลงตัวอยู่ภายในนั้น เพื่อให้ทุกอย่างในชีวิตดูมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น
- ชีวิตก็เหมือนกับบันไดที่มีปัญหาเป็นขั้นบันได ให้เราได้ไต่ขึ้นสู่ที่สูงไปเรื่อย ๆ ถ้าเพียงเราสามารถเอาชนะปัญหาแต่ละครั้งไปได้ แม้พรุ่งนี้จะมีความท้าทายใหม่ ๆ รอให้เราพิสูจน์ความแข็งแกร่ง ก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป

- ปัญหาของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันออกไป เรื่องเล็กน้อยที่เราคิดว่าไม่น่าจะเรียกมันว่าปัญหา แต่ในอีกมุมหนึ่งของอีกคน ก็อาจจะเป็นปัญหาใหญ่มากก็เป็นได้
- การที่เรามัวแต่คิดว่าคนอื่นจะแล้งน้ำใจไปเสียหมด แล้วเองก็ทำตัวแบบไร้น้ำใจเช่นกัน สังคมจะมีการแบ่งปันกันอย่างไร มันอาจจะต้องเริ่มต้นจากใครสักคนหนึ่ง จากนั้นก็ค่อย ๆ ถ่ายทอดกันไปเรื่อย ๆ คน ๆ นั้นน่าจะเป็นตัวเราเองดีที่สุด เราจะไปหวังอะไรจากคนอื่นเล่า ถ้าแม้แต่ตัวเรายังทำไม่ได้...จริงไหม

- เมื่อเราพยายามทำตอนนี้ให้ดีที่สุด เชื่อว่าวันพรุ่งนี้ก็จะมีแต่สิ่งดี ๆ อันเป็นผลจากสิ่งที่เราทำ ถึงแม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่จะกังวลไปทำไม ในเมื่อเราจะทำชีวิตให้มีความสุขเสียอย่าง จริงไหม?
- อนาคตเป็นที่ไม่แน่นอนจริง ๆ ...เมื่อวันพรุ่งนี้หรือเมื่อวันวาน มันไม่ใช่เรื่องของเราสักหน่อย เมื่อวานมันจบไปแล้ว ส่วนวันพรุ่งนี้ก็ยังมาไม่ถึง เร็วไปไหมที่เราจะคิดกังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง ในเมื่อทุกสิ่งมันไม่มีความแน่นอน..ก็ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้วเรื่องดี ๆ จะตามมาอย่างไม่ต้องสงสัย

- ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่ที่อายุของเราเลยแม้แต่น้อย หากแต่อยู่ที่ทัศนคติคนเราต่างหาก
- ...ไม่ต้อง รอให้ชีวิตเราสมบูรณ์แบบ แล้วค่อยบอกตัวเองว่ามีความสุข ...เราสามารถมีความสุขได้เช่นกัน อยู่ที่ตัวเราจะเลือกใช้ชีวิตเป็นไปในทิศทางไหน อย่าได้ปล่อยให้ความเคยชินบางอย่างมาทำลายชีวิตให้ต้องจมอยู่กับความสุขอยู่เลย...
- ...การทำสิ่งที่ไม่คุ้ยเคย อาจทำให้เรามองโลกได้กว้างขึ้น เพิ่มศักยภาพและคุณภาพชีวิตเราให้สูงขึ้น

- ...ไม่มี..ใครสามารถเปลี่ยนแปลงโลกทั้งโลกได้ แต่สิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุดคือ การเปลี่ยนแปลงตัวเอง และไม่มีใครที่จะมาเปลี่ยนแปลงเราได้ เราต่างหากที่ต้องทำเอง
- เป้าหมายที่ชัดเจน โอกาสที่จะสำเร็จก็มีสูงขึ้น และยิ่งมีความชัดเจนมากเพียงใด โอกาสความเป็นไปได้ก็มากตาม

- ชีวิตต้องเรียนรู้ที่จะได้และสูญเสียบ้าง
- ชีวิต...จะสั้นหรือยาวขึ้นอยู่กับเวลาที่แต่ละคนใช้ไป เมื่อเทียบกับเวลาที่เหลืออยู่
- ปัญหาไม่ใช่น้ำแข็งที่พอทิ้งไว้สักพัก มันก็จะละลายไปเองได้ ตราบใดที่มันยังไม่ได้รับการแก้ไขให้จบไปอย่างถูกวิธี มันก็ยังอยู่กับเราไปจนตลอดชีวิตอยู่ดีนั่นแหละ

- จงอย่าได้หันหลัง เมื่อโดนข่มขู่จากอันตราย แล้ววิ่งหนีไป ถ้าท่านทำเช่นนั้น เท่ากับว่าท่านกำลังเพิ่มพูนอันตรายเป็นสองเท่า แต่ถ้าท่านเผชิญหน้ากับมันทันที โดยปราศจากความกลัว ท่านจะลดอันตรายลงได้กว่าครึ่ง
- ครึ่งหนึ่งของชีวิตคนเรานั้นคือ ส่วนประกอบต่าง ๆ ที่แต่ละคนมี ไม่ว่าจะเป็นฐานะ การศึกษา หน้าตา ตำแหน่ง ยศศักดิ์ การงงาน ความรัก เพื่อนฝูง ครอบครัว ส่วนอีกครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญยิ่งกว่านั่นคือ ใครจะสามารถนำส่วนผสมเหล่านั้นมาทำอะไรให้ชีวิตลงตัวมากที่สุดเท่านั้นเอง

- ชีวิตของคนเรามันก็เหมือนกับการเดินทางที่แสนยาวไกล แต่ละก้าวอาจจะเจอกับอุปสรรคมากมาย ผิวถนนที่ขรุขระ...เป็นผาที่สูงชัน ทางลูกรักที่ฝุ่นคลุ้งกระจาย...ป่าไม้ที่รก น้ำลึกที่ข้ามยาก การที่เราล้มบ้าง เจ็บบ้าง ท้อแท้บ้าง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

- ทุกคนบนโลกนี้ ไม่มีใครหรอกที่ไม่ทุกข์บ้างเลย เพียงแต่เขาอาจจะเลือกที่มีความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิต ด้วยการยิ้ม การหัวเราะ การมองโลกในแง่ดี มากกว่าที่จะมัวมากังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตที่ไม่อาจควบคุมได้
- เมื่อ...ถึงคราวที่ต้องเผชิญกับความโหดร้ายของชีวิตในครั้งต่อไป แทนที่จะมองหาแต่ความโชคร้าย พร่ำบ่นกับความไม่ยุติธรรมของโลก มาลองหาอีกมุมหนึ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งเราอาจจะเจอและทำให้เราเป็นสุขได้ แม้ในขณะที่ทุกข์สุด ๆ ก็ตาม

-...นับเลขต้องนับเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่หรือ แล้วถ้าเรานับหนึ่งอยู่บ่อย ๆ แล้วเมื่อไหร่จะนับถึงร้อยสักที...
- เราไม่มีสิทธิ์ที่จะบริโภคความสุข โดยปราศจากการผลิตมัน และเช่นเดียวกันกับไม่มีสิทธิ์ที่จะบริโภคความมั่งคั่ง โดยปราศจากการผลิตมันเช่นเดียวกัน

- คนเราหากไม่สู้เสียแล้ว จะหวังอะไรให้ชีวิตรุ่งเรืองเจริญก้าวหน้า นอกเสียจาก...รอวันเหี่ยวแห้งไปตามกาลเวลาก็เท่านั้นเอง
- คำพูดสวยหรูเป็นล้าน ๆ คำ บางทีอาจเทียบไม่ได้เลยกับหนึ่งความจริงใจที่คนเรามีให้กันเพียงไม่กี่คำ
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=athena-th&month=07-2008&date=10&group=19&gblog=15

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

"สามเหลี่ยมอัจฉริยะ" สู่ความสำเร็จในการใช้ชีวิต

การที่บุคคลใดจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้นั้น พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้วัดกันที่ "ความร่ำรวย" การสร้างความสมดุลของชีวิตระหว่างอาชีพการงาน กับการรู้จักใช้ชีวิตให้สุขใจต่างหาก คือ คำตอบ
คุณเฉลียว วิทูรปกรณ์ผู้บริหารกลุ่มบริษัทตะวันออกโปลิเมอร์ อุตสาหกรรม ซึ่งมีบริษัทในเครือกว่า 10 บริษัท ส่งออกสินค้ากระจายไปใน 100 กว่าประเทศทั่วโลก ได้ให้สัมภาษณ์ถึงแนวคิดที่ตนยึดถือ ซึ่งทำให้ตนประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้ไว้กับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่า เส้นของสามเหลี่ยมแต่ละเส้นจะถูกแทนค่าด้วยแต่ละกิจกรรมของชีวิต

"เส้นฐาน" เปรียบได้กับการรู้จักแบ่งสัดส่วนเวลาของชีวิต แบ่งเป็นการจัดสรรเวลาของตัวเอง ระหว่าง เวลาส่วนตัว เวลาสำหรับครอบครัว และเวลาสำหรับอาชีพ ต้องสัมพันธ์กันจึงจะเป็นฐานที่อบอุ่นทำให้มีความฉลาดคิด และฉลาดทางอารมณ์ เรียกว่า มีทั้งไอคิว และ อีคิว

บางคนประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน แต่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตครอบครัว เพราะลืมแบ่งเวลาความสนใจไปสู่ด้านอื่น ขณะที่บางคนก็ไม่ประสบความสำเร็จในอาชีพเสียที เพราะอาจจะไม่ใส่ใจกับการแบ่งเวลาให้อาชีพการงาน หากมีตารางจัดสรรเวลาที่ดี ก็จะมีการงานที่มั่นคง ครอบครัวอบอุ่น

หากบางคนจำเป็นต้องแบ่งสัดส่วนเวลาของชีวิตไปในด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไป ลองแก้ปัญหาด้วยการ "สร้างข้อตกลง" กับคนรอบข้าง จะทำให้สามารถจัดสรรเวลาของชีวิตได้ง่ายขึ้น สุขใจ และสบายใจมากขึ้น เช่น เมื่อแต่งงานมีครอบครัว อาจจะตกลงกันว่าเวลาไหนเป็นเวลาส่วนตัว เวลาทำงาน หรือเวลาที่อยู่ร่วมกัน ข้อตกลงจะสร้างความยืดหยุ่นและความเข้าใจให้กับคนในครอบครัวและเพื่อนร่วมงาน

"เส้นที่สอง" เปรียบได้กับบทบาทของชีวิตที่ต้องพัฒนา เป็นเส้นที่เข้ามาเติมเต็มความอบอุ่นทางใจ ทำให้รู้สภาวะของตัวเอง เพราะคนหนึ่งคนมีได้หลายบทบาท ประกอบด้วย บทบาทของผู้นำ ผู้ตาม และที่ปรึกษา โดยคนหนึ่งจะรับบทบาททั้ง 3 อย่างขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาและโอกาส ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปรับตัวให้ได้

ผู้นำต้องแข็งแรง แต่ไม่แข็งกร้าว แข็งแรงในการตัดสินใจ ยึดหลักกฎ มารยาท กฎเกณฑ์ ไม่ใช่ "กฎหลักกู" ที่มีความแข็งกร้าว และอารมณ์รุนแรงเข้ามาเกี่ยวข้อง ผู้นำต้องอยู่เหนือคนแต่ทำตนเสมอคน การจะอยู่เหนือคนอื่นได้จริงๆ สำคัญที่สุด คือ ต้องอยู่เหนือหัวใจของคน เหมือนกับน้ำที่ต้องไหลจากที่สูงสู่ที่ต่ำ ยิ่งสูงยิ่งต้องรู้ว่าข้างล่างต้องการอะไร ปรับตัวตามสถานภาพ สถานการณ์ให้เหมาะสม

ผู้ตาม คือ ผู้ที่มีภาวะในการปฏิบัติตามผู้นำด้วยความรับผิดชอบ เอาใจใส่ มีระเบียบวินัย และเข้าใจในลำดับชั้นการปกครองที่ดี

บทบาทของปรึกษาที่ดี จะช่วยสร้างบารมีในองค์กร ผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ ที่จะให้คำปรึกษากับคนได้นั้น ต้องมีคุณลักษณะรู้ในตำรา รู้นอกตำรา ให้คำปรึกษาที่มีประโยชน์และมีจรรยาบรรณ

"เส้นที่สาม" เปรียบได้ในเรื่องอาชีพและชีวิต เป็นเส้นแห่งความมั่นคงต่อเศรษฐกิจและชีวิต หากเส้นนี้ไม่มีความมั่นคง ชีวิตแต่ละส่วนก็จะได้รับผลกระทบ จนอาจเสียความสมดุลได้

สูตรสำหรับสร้างความสำเร็จในอาชีพด้วย 4 ใจ ประกอบด้วย

ใจรักและถนัด ต้องใส่ใจในทุกรายละเอียด เพราะสิ่งเล็กๆ ที่มองข้ามอาจกลายเป็นตัวแปรที่ไม่น่าเชื่อ ยุคนี้ไม่ใช่ยุคของ "ใหญ่กินเล็ก" อย่างเดียว แต่เป็นยุคของ "เร็วกินช้า" และยุคของ "ใหญ่และเร็วกินรวบ" รักในสิ่งที่ทำ ทำในสิ่งที่รักและถนัด เป็นสัจธรรมของอาชีพ บางทีรักในสิ่งที่ไม่ถนัด โอกาสเติบโตย่อมเชื่องช้ากว่า แต่ถ้ารักด้วยถนัดด้วยก็ไปโลดแน่นอน ยิ่งรักในสิ่งที่ทำ ทำในสิ่งที่รักและถนัด ก็เหมือนคุณได้เดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว 50% อยากให้ความฝันข้อไหนของคุณเป็นจริงมากที่สุด ท้าทายมากที่สุด ที่คุณอยากทำแต่ไม่กล้าทำ ยิ่งถ้าค้นหาและค้นพบตั้งแต่เด็ก คุณจะได้รับประโยชน์มากที่สุด

ใจสู้ เมื่อรักและถนัดที่จะทำ ย่อมไม่ปริปากบ่น อดทนต่อขวากหนาม นานัปการ ขยันและอดทนต่ออุปสรรค ท้อแท้ได้แต่อย่าท้อถอย เพราะความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น หากท้อแท้ให้นึกถึงคำว่า "แรงบันดาลใจ" เป็นคำที่กระตุ้นให้เราเห็นว่าไม่ใช่เราคนเดียวในโลกที่ประสบกับปัญหาหรืออุปสรรคนั้นๆ

ตั้งใจ ความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยว ชัดแจ้ง เมื่อเกิดปณิธานในชีวิตขึ้นมารับรองว่าจะไม่ท้อถอย ให้ยึดคำกล่าวที่ว่า "คิดการใหญ่ อย่าใส่ใจสิ่งปลีกย่อย" ขอเพียงไปให้ถึงเป้าหมายก่อน

ใส่ใจ หากต้องการมุ่งสู่ความเป็นเลิศ ต้องใส่ใจในทุกรายละเอียด ทำอย่างดีที่สุด พิถีพิถันที่สุด รอบคอบมากที่สุด จึงจะเป็นความสำเร็จที่เพียบพร้อม สมบูรณ์แบบที่สุด ต้องไม่ลืมว่า อย่าตระหนี่ในการแสดงออกถึงการดีใจ ยินดี และห่วงใย เพราะสิ่งเหล่านี้จะเหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจ ให้กับคนที่รัก

เมื่อเราได้เรียนรู้ถึงสามเหลี่ยมแต่ละด้าน ทำให้ได้รู้ถึงเป้าหมาย การสร้างกำลังใจ และการรู้จักนำเครื่องมือที่จะนำไปใช้ ส่วนจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น ทุกข์หรือสุขเป็นของคู่กัน อย่ากังวลกับทุกข์หรือสุข ต้องอยู่กับสิ่งเหล่านี้ให้ได้ เพียงแต่ต้องรู้จักการบริหารให้เป็น หากใครก็ตามสามารถสร้างสมดุลของเส้นทั้งสามเส้นให้ทำมุม 180 องศาได้ โดยไม่หกคะเมนตีลังกาเสียก่อน นั่นหมายถึง การเดินสู่ความสำเร็จในการใช้ชีวิต

http://th.jobsdb.com/TH/TH/V6HTML/Home/general_editor32.htm

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นาฬิกาชีวิต องค์รวมสุขภาพแบบ A.M./P.M.



นาฬิกาชีวิต องค์รวมสุขภาพแบบ A.M./P.M. (Twenty-Four Seven)
          การแพทย์ตะวันออกถือว่า กลางวันและกลางคืนมีความสัมพันธ์กับสุขภาพของมนุษย์อย่างแยกไม่ออก โดยมองลึกลงไปอีกว่า ช่วงเวลา 24 ชั่วโมงในหนึ่งวันนั้น ภายในร่างกายของมนุษย์ ยังมีการไหลเวียนของพลังชีวิตที่ผ่านอวัยวะภายในของร่างกายซึ่งประกอบด้วยหัวใจ, เยื่อหุ้มหัวใจ, ปอด, ม้าม, ตับ ไต, กระเพาะอาหาร, ถุงน้ำดี, ลำไส้ใหญ่, ลำไส้เล็ก, กระเพาะปัสสาวะ, ระบบความร้อนของร่างกาย, การไหลเวียนของพลังชีวิต (ลมปราณ) ที่ผ่านแต่ละอวัยวะนั้นจะใช้เวลาสองชั่วโมง ทั้งหมดมี 12 อวัยวะ รวม 24 ชั่วโมง คือ หนึ่งวัน เรียกว่า "นาฬิกาชีวิต" ต่อมเล็กๆ ในสมองของมนุษย์คือจุดควบคุมจังหวะสั่งการให้ร่างกายเคลื่อนไหวเป็นไปในลักษณะต่างๆ ทั้งกลางวันและกลางคืน
          ดังนั้น การดูแลควบคุมพฤติกรรมในแต่ละวันให้สัมพันธ์กับนาฬิกาภายในร่างกายจึงเป็นสิ่งสำคัญ ให้ผลทั้งการควบคุม สมดุล ความปกติของสุขภาพ และสัดส่วนน้ำหนัก และนี่คือสิ่งที่ควรรู้

ช่วงเวลา นาฬิกาชีวิต และคำแนะนำ
        06:00 : หกโมงเช้าเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายตื่นตัวที่สุด
        07:00 : เหมาะสำหรับเป็นเวลาอาหารเช้า ระบบการย่อยอาหารจะทำงานได้ดีที่สุด สารอาหารแร่ธาตุและวิตามิน ต่างๆ จะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานได้อย่างสมบูรณ์
        08:00 : เป็นช่วงเวลาที่เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวบ่อยที่สุดเพราะเลือดในร่างกายเข้มข้น เลือดมีโอกาสจับตัวอุดตัน จนเกิดอันตราย จึงควรฝึกทำสมาธิ นับลมหายใจ หรือฟังเพลง เลี่ยงสิ่งที่ทำให้เกิดความเครียด
        09:00 : สมองส่วนความจำจะทำงานได้ดีมากในช่วงนี้ เป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการท่องจำมากที่สุด
        10:00 : ถ้าเป็นไปได้ ควรนัดเจรจาเรื่องสัญญา การพูดจาระหว่างการสนทนาจะออกมาเป็นจุดเด่นในช่วงนี้
        11:00 : ร่างกายในช่วงที่สามารถให้ประสิทธิภาพได้สูงสุด หัวใจและระบบไหลเวียนของโลหิตทำงานได้เต็มที่ช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งมาราธอนหรือต่อสู้กับสภาพของงาน มนุษย์จะทำได้ดีที่สุด
        12:00 : สมาธิเริ่มแย่ อุบัติเหตุในการทำงานจะเพิ่มมากขึ้น ถ้าไม่หยุดพักจะทำให้เกิดความเสียหาย
        13:00 : กระเพาะอาหารเตรียมทำงานด้วยการหลั่งกรดออกมา ต้องหาอะไรกินให้ได้ ไม่งั้นจะเสี่ยงต่อ โรคกระเพาะอาหาร
        14:00 : เป็นช่วงที่สมองซีกศิลปะทำงาน เหมาะสำหรับการคิดสร้างสรรค์ หรือทำงานฝีมือ งานอดิเรก
        15:00 : พลังงานแห่งการทำงานกลับมาอีกครั้ง ความจำขึ้นถึงสูงสุดอีกครั้ง ช่วงนี้น่าจะหาโอกาสเข้าพบเจ้านายเพื่อขึ้นเงินเดือนได้ ในช่วงนี้จิตใจจะไม่กลัวการเผชิญหน้าใดๆ
        16:00 : มนุษย์จะทนต่อความเจ็บปวดได้ดีที่สุดในชั่วโมงนี้ ถ้าจะไปทำฟันก็เลือกประมาณนี้ ถ้าทำได้ยาชาหนึ่งเข็ม จะมีผลพอๆ กับการได้รับ 3 เข็มเลยทีเดียว
        17:00 : แรงดันและการไหลเวียนของโลหิตจะเคลื่อนไหวได้ดีมาก เป็นเวลาที่เหมาะสมกับการเล่นกีฬาออกกำลังกาย กล้ามเนื้ออยู่ในช่วงที่แข็งแรงที่สุด และเมื่อได้ฝึกอย่างถูกวิธี ก็จะเกิดความแข็งแรงรวดเร็วมาก
        18:00 : ช่วงนี้ผู้คนจะเหนื่อยเพลียและขาดสมาธิมากกว่าช่วงเวลาชั่วโมงอื่นๆ เป็นช่วงที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งที่สุด ต้องใช้ความระวังขณะขับรถอยู่บนถนน
        19:00 : สมองได้รับเลือดหล่อเลี้ยงมาก เมื่อเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันจะสามารถแก้ไขให้ลุล่วงดีได้เร็วมาก
        20:00 : เริ่มสดชื่นหลังการพักผ่อนที่ต้องกรำงานตลอดทั้งวัน จึงเป็นช่วงดีสำหรับการพบปะสังสรรค์ ใครที่อยากจะบอกรัก ขอใครแต่งงานควรจะทำในชั่วโมงนี้ โอกาสประสบความสำเร็จมีมากที่สุด
        21:00 : กระเพาะอาหารจะหยุดทำงานพอถึงช่วงเวลานี้ ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารหนัก เพราะไม่เช่นนั้น  ก็จะไปสะสมค้างในกระเพาะเกิดผลเสียหายตามมา
        22:00 : ความดันโลหิตจะลดลงพร้อมๆ กับอุณหภูมิของร่างกายที่ต่ำลง การนอนหลับก่อนเที่ยงคืนเป็นการหลับที่สนิท และช่วยให้การพักผ่อนอย่างเต็มที่มากกว่าช่วงอื่น
       
23:00 : สมองทำงานน้อยลง ถ้าดูหนังสือช่วงนี้วันต่อไปก็จะจำไม่ได้เป็นส่วนใหญ่ ควรนอนหลับพักผ่อนดีที่สุด
        24:00 : ใครที่ยังไม่หลับควรให้โอกาสนี้สำหรับการสร้างสรรค์ จะเป็นงานเขียน วาดรูป หรือแต่งเพลง ล้วนเป็นช่วงเวลาที่วิเศษทั้งสิ้น เพราะสมองปลอดโปร่งคิดโน่นคิดนี่ได้ดีที่สุด
   
        01:00 : สมองเหนื่อยล้าถึงขีดสุด ร่างกายอยากพักผ่อนเต็มที่ แม้จะชาชินกับงานกลางคืนมาเป็นปี แต่พอเข้าชั่วโมงนี้จะรู้สึกว่าเหนื่อย เพลีย ง่วงที่สุด 1.00-3.00 น. เป็นช่วงเวลาของตับ ควรนอนหลับพักผ่อน ถ้าใครนอนหลับได้ดีเป็นประจำในช่วงเวลานี้ ตับจะหลั่งสารมีราโทนิน (Meratonine) เพื่อฆ่าเชื้อโรค ทำให้ หน้าอ่อนกว่าวัย นอนจากร่างกายจะหลั่งมีราทินประจำแล้ว ยังหลั่งสารเอนโดรฟิน (Endorphin) ออกมาด้วย จึงไม่ควรกินอาหาร เพราะจะทำให้ตับทำงานหนักและเสื่อมเร็ว
        02:00 : ฮอร์โมนเมลาโตนินถูกขับออกมามาก ทำให้คนเราเลื่อนลอยเหนื่อยล้าและมีโอกาสคิดสั้นฆ่าตัวตายมากที่สุด ดังนั้น ควรเลี่ยงเรื่องเครียดๆ หรือคิดหาเหตุผล ถ้าไม่นอนก็ควรฟังเพลงสบายๆ ดูหนังตลกๆ
        03:00 : ทุกอย่างในร่างกายแทบจะหยุดนิ่ง ร่างกายควรได้รับการพักผ่อนมากที่สุด
        04:00 : ร่างกายเริ่มตื่นขึ้นมาทำงานอีก เพราะมีฮอร์โมนคอร์ติซอลซึ่งใช้ต่อสู้กับความเครียดหลั่งออกมา คนเป็นโรคหืดหอบจะมีปัญหากับการหายใจ
        05:00 : ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์แก่ทั้งหลายควรตระเตรียมข้าวของให้พร้อมสำหรับชั่วโมงนี้ เพราะตามสถิติเด็กทารกจะคลอดออกมาลืมตาดูโลกระหว่างชั่วโมงนี้มากที่สุด

         อ่านถึงบรรทัดนี้ หลายคนเริ่มตอบคำถามตัวเองได้แล้วล่ะสิว่าที่ร่างกายรู้สึกไม่ปกติ ไม่สดใสนั้น เป็นเพราะอะไร ยังไม่สายที่เราจะเริ่มต้นใหม่ ด้วยการตั้งนาฬิกาชีวิตให้เที่ยงตรง