คำคม

ปัญหามีไว้ให้หาปัญญา อุปสรรคมีไว้ให้ฝึกหาทางออก วันไหนที่มีความสุข วันนั้นอย่าทำความสุขในชีวิตหล่นหาย

วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

คุณค่าของชีวิต

 … มีพระราชาผู้หนึ่ง ได้บอกกับคนขี่ม้าของเขาว่า
ถ้าเขาสามารถขี่ม้าไปครองพื้นที่ได้มากเท่าไรก็ตาม
พระราชาจะยกที่ดินนั้นให้กับเขา คนขี่ม้าจึงควบม้าของเขา
ไปอย่างรวดเร็วด เพื่อครอบครองที่ดินให้มากเท่าที่จะทำได้
เขาเร่งควบม้าไปเรื่อย ๆ เร็วเท่าที่ม้าจะรับไหว …
เมื่อเขาหิว หรือเหนื่อย เขาก็ไม่หยุดควบม้า
เพราะเขาต้องการครอบครองดินแดนให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้
เมื่อมาถึงจุดหนึ่งเขาหมดแรง และกำลังจะตาย เขาจึงถามตัวเองว่า …
” ทำไมเราถึงกดดันตัวเองอย่างหนักเพื่อให้ได้ครอบครองผืนดิน?
ตอนนี้เรากำลังจะตาย และเราก็ต้องการเพียงแค่ที่ดินเล็ก ๆ เพื่อฝังศพตัวเอง “
… เรื่องข้างต้นก็เหมือนการเดินทางของชีวิตพวกเรา …
พวกเราผลักดันตัวเองอย่างทุกวันเพื่อให้ได้เงินมากๆ มีอำนาจ และ เป็นที่ยอมรับ
พวกเราละเลยที่จะดูแลสุขภาพของตัวเอง และคนรอบข้าง …
เราไม่มีแม้เวลาที่จะให้กับครอบครัว และชื่นชมกับสิ่งสวยงามรอบตัว
หรือแม้กระทั่ง งานอดิเรกที่เรารัก เราก็ไม่มีแม้เวลาที่จะทำมัน
วันหนึ่งเมื่อเรามองกลับไป … พวกเราจะตระหนักว่า
สิ่งที่ต้องการนั้น จริง ๆ เรากลับไม่ได้มันมา ทั้งที่มันอยู่ใกล้เสียเหลือเกิน …
แต่สิ่งที่เราขวนขวาย และพยายามไขว่คว้า มันกลับไม่ได้ให้อะไรกับชีวิตเราเลย
แต่เมื่อเราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้กับสิ่งที่เราพลาดไปในชีวิต
ไม่ใช่การสร้างเงิน สร้างอำนาจ หรือการยอมรับ
ชีวิตไม่ใช่การทำงาน งานเป็นสิ่งสำคัญเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เราสนุก
กับความงาม และความพึงพอใจของชีวิต …
แต่ …ชีวิตคือความสมดุลของงาน และการเล่น ครอบครัวและเวลาส่วนตัว
… จงตัดสินใจว่าจะสร้างสมดุลให้กับชีวิตคุณอย่างไร?
กำหนดลำดับความสำคัญของคุณเอง ตระหนักว่าอะไรที่คุณสามารถยอมรับได้
แต่จงตัดสินใจด้วยสัญชาตญาณของตัวคุณเอง …
ความสุขคือความหมาย และจุดมุ่งหมายของชีวิต …
ดังนั้น … สร้างมันง่าย ๆ โดยทำในสิ่งที่คุณต้องการจะทำ
และซาบซึ้งกับธรรมชาติ ชีวิตนั้นเปราะบาง ชีวิตนั้นสั้น
ใช้ชีวิตอย่างสมดุล ในสไตล์ของคุณเอง และสนุกกับมัน
มองดูสิ่งที่คุณคิด มันจะกลายเป็นคำพูด
มองดูคำพูดของคุณ มันจะกลายเป็นการกระทำ
มองดูการกระทำของคุณ มันจะกลายเป็นนิสัยติดตัว
มองดูนิสัยของคุณ มันจะกลายเป็นบุคลิก
มองดูบุคลิกของคุณ มันจะกลายเป็นโชคชะตา
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือตัวคุณที่จะกำหนดตัวคุณเอง 

มองผ่านกระจก

 เวลาที่เรามองอะไร เราก็รับเอาภาพของสิ่งนั้น ภาพที่เรามองเห็น
เกิดจากการที่มีแสงกระทบเข้ามาสู่ตาของเรา หากเราถามนักวิทยาศาสตร์

ว่ามีความชั่วอยู่ในแสงที่มากระทบกับตาของเราหรือไม่ นักวิทยาศาตร์ก็
จะวิเคราะห์ว่า แสงซึ่งเป็นรูปหนึ่งของพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า ประกอบด้วย
สนามแม่เหล็ก H ที่มีการสั่นสะเทือนด้วยคลื่นความถี่ที่สูงมากและมีสนาม
ไฟฟ้า E ซึ่งมีความถี่สูงมาอยู่ตั้งฉากกัน นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าไม่มีความ
ชั่วปรากฏในสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าแสงเป็นเพียงพลังงาน แต่ทำไม
เราจึงเห็นความชั่ว ในเมื่อไม่มีความชั่วในแสง แล้วมันอยู่ที่ใดกันล่ะ หากพูด
ตามเหตุผลแล้ว ถ้าไม่มีความไม่ดีเข้ามาสู่ตัวเราแล้ว เราเห็นความไม่ดีนั้นได้
อย่างไร แสดงว่าความไม่ดีต้องอยู่ภายในตัวเราอยู่แล้ว! เราจะต้องกล้ายอม
รับความจริงในข้อนี้ เพื่อที่เราจะได้เอาชนะศัตรูภายในตัวเราได้
มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง อาศัยอยู่บ้านหลังใหญ่ ภรรญาจะออกกำลังกายทุกๆ
เช้า ในขณะที่เธอออกกำลังกายอยู่นั้น เธอก็จะมองออกไปนอกหน้าต่างและดู
เพื่อนบ้านกำลังซักผ้าและตากผ้าอยู่ หลังจากออกกำลังกายแล้ว เธอจึงลงมา
รับประทานอาหารเช้ากับสามี และเล่าให้สามีฟังว่า…
“ชั้นไม่เช้าใจเลยเพื่อนบ้านของเรานี่ไม่รู้จักวิธีซักผ้าให้สะอาดเสื้อผ้าที่
หล่อนซักยังสกปรกอยู่เลย ไม่รู้ว่าเธอใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออะไรกัน”
สามีก็บอกว่า …
“คุณไปยุ่งเรื่องชาวบ้านเค้าทำไม เราซักผ้าของเราให้สะอาดก็พอแล้ว”
แต่ภรรยาก็ไม่เชื่อฟัง เธอจะมองออกไปนอกหน้าต่างทุกเช้าเวลาออกกำลังกาย
เพื่อดูเพื่อนบ้านซักและตากผ้า แล้วก็ลงมารายงานให้สามีฟัง…
“เพื่อนบ้านของเราซักเสื้อสกปรกอีกแล้วล่ะ” อยู่มาวันหนึ่ง ภรรยารีบลงมาบอกสามี
ด้วยความประหลาดใจ…
“นี่คุณไม่รุ้ว่าเกิดอะไรขึ้น วันนี้เพื่อนบ้านของเราซักผ้าได้สะอาดจริงๆ สงสัยเธอ
คงจะเปลี่ยนผงซักฟอกที่ใช้อยู่นะ สงสัยจังว่าวันนี้เธอซักผ้ายังไง แหม ขาวสะอาดจริงๆ”
สามีหัวเราะ และก็บอกว่า…
“คือผมเบื่อเหลือเกินที่คุณมารายงานผมทุกวันๆ ว่าผ้าบ้านโน้นสกปรก เช้านี้ผมตื่น
ก่อนคุณก็เลยไปเช็ดกระจกหน้าต่าง เมื่อก่อหน้านี้ กระจกหน้าต่างบ้านเราสกปรกมาก
แต่วันนี้กระจกสะอาดใสแจ๋ว คุณเลยมองอะไรข้างนอกสะอาดไปหมดนั่นแหละ…”
นี่เป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่สำหรับเรา ถ้าเราใส่แว่นสีแดง เราก็จะเห็นทุกอย่างเป็นสีแดง
แท้จริงทุกอย่างที่เรามองไม่ได้เป็นสีแดง ถ้าเรานำกล้องถ่ายรูปคุณภาพต่ำไปถ่ายรูปคน
ที่อยู่ในห้อง ภาพที่ออกมาก็จะมือไม่ชัด เราจะตำหนิคนที่อยู่ในห้องได้ไหมว่า พวกเขาทำ
ให้ภาพไม่ชัด ไม่ได้หรอก ตัวกล้องต่างหากที่ไม่ดี เพราะมันปรับแสงไม่ได้ แต่ถ้าเรามี
กล้องที่คุณภาพดี มีตัวปรับแสง ภาพก็จะออกมาดี ชัดเจน
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ตัวรับภาพนี่ที่เป็นสิ่งสำคัญ ในทำนองเดียวกัน ประสาทสัมผัสของ
เรารับข้อมูลจากภายนอกตัวรับในที่นี้ก็คือจิตสำนึกของเราถ้าจิตใจของเราสกปรก
เราก็จะมองเห็นสิ่งอื่นสกปรกไปด้วย เพราะฉะนั้น เราจึงควรทำความสะอาดจิตใจของเรา
ทำให้จิตของเราบริสุทธิ์ขึ้น เราก็จะเริ่มมองเห็นสิ่งต่างๆ เปลี่ยนไปในทางที่ดี่ จิตใจ
ของเราก็จะค่อยๆ สูงขึ้นๆ ในที่สุด
อ้างอิง : หนังสือ แนวทางสู่ความสุข, ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

ความจริงที่ต้องใจ

เด็กตาบอดคนหนึ่งนั่งที่ขั้นบันไดของตึก
โดยมีหมวกวางหงายไว้ข้างๆ
มีป้ายเขียนไว่ข้างตัวว่า
“ผมตาบอด กรุณาช่วยด้วย”
มีเหรียญเพียงสองสามอันในหมวก
ชายคนหนึ่งเดินผ่านมา
เขาหยิบเงินสองสามเหรียญจากกระเป๋าแล้วหย่อนลงในหมวก
เขาหยิบป้ายข้างเด็กตาบอดมาเขียนที่ด้านหลัง
แล้ววางลงที่เดิม เพื่อให้คนเดินผ่านได้เห็นข้อความใหม่บนป้าย
ในไม่ช้า…หมวกก็เต็ม
ผู้คนมากมายให้เงินแก่เด็กตาบอด
บ่ายวันนั้นชายที่เขียนป้ายให้ใหม่กลับมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
เด็กชายจำเสียงฝีเท้าเขาได้ก็ถามขึ้นว่า
“คุณใช่คนที่เขียนป้ายให้ผมใหม่เมื่อเช้าใช่ไหมครับ” “
คุณเขียนว่าอะไรครับ”
ชายคนนั้นพูดว่า
“ฉันแค่เขียนความจริง ฉันเขียนสิ่งที่เธอพูดแต่เขียนด้วยคำพูดที่แตกต่าง”
ฉันเขียนว่า “วันนี้ช่างเป็นวันที่สวยงาม แต่ผมไม่สามารถชื่นชมมันได้”
ทั้งสองข้อความบอกกล่าวผู้คนว่าเด็กชายนั้นตาบอด
ทว่าข้อความแรกเพียงบอกธรรมดาว่าเด็กชายตาบอด
ในขณะที่ข้อความหลังบอกผู้คนว่าพวกเขาช่างโชคดีเหลือเกินที่ตาไม่บอด
แปลกใจไหมที่ข้อความหลังให้ผลดีกว่า
ข้อสอนใจจากเรื่องนี้ :
จงขอบคุณในสิ่งที่คุณมี
ขอให้มีความคิดสร้างสรรค์ ปฏิรูปจิตใจของคุณ และคิดแตกต่างในแง่บวก
ยามเมื่อชีวิตมีเหตุผลเป็นร้อยให้คุณอยากร้องไห้
จงทำให้ชีวิตดูว่ามีเหตุผลเป็นพันให้คุณยิ้มได้
เผชิญหน้ากับอดีตโดยไม่สลดใจ
จัดการกับปัจจุบันอย่างมั่นใจ
เตรียมการเพื่ออนาคตโดยไม่หวาดกลัว
มีศรัทธาและโยนความหวาดหวั่นทิ้งไป
สิ่งที่งดงามที่สุดคือการได้เห็นคนยิ้มแย้ม
และยิ่งงดงามกว่านั้นที่ได้รู้ว่าเราเป็นผู้อยู่เบื้องหลังรอยยิ้มนั้น
http://comvariety.com/article/8095

ข้อคิดเตือนใจกับเด็กหานาฬิกา

“ความสงบสยบความเคลื่อนไหว”
        ชาวนาคนหนึ่ง หลังจากไปทำความสะอาดคอกม้า ออกมาก็พบว่านาฬิกาพกของตน ได้หล่นหายไปเสียแล้ว นาฬิกาพกเรือนนี้มีความหมายต่อเขามาก ด้วยเป็นของขวัญที่แม่ของเขาทิ้งไว้ให้ เขารีบวิ่งไปที่คอกม้ารื้อหาจนทั่วบริเวณแทบพลิกแผ่นดิน แต่ก็หาไม่พบ
        เขาเดินออกมาจากคอกม้าด้วยเหงื่อที่ท่วมตัว มองไปเห็นมีเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นกันอยู่แถวนั้น เขาจึงได้คิดว่าอาจเป็นเพราะตัวเองแก่แล้ว หูตาฝ้าฟางทำให้หาไม่เจอ แต่เด็กๆหูตายังแหลมคมน่าจะหาเจอก็เป็นได้ เขาจึงเรียกเด็กๆมาแล้วบอกว่า ” เด็กๆ ถ้าใครหานาฬิกาพกของลุงเจอ ลุงจะให้เงินคนนั้นหนึ่งเหรียญ ”
        เด็กๆ พากันวิ่งกรูเข้าไปในคอกม้า จนเวลาผ่านไปนานโข ตอนที่เด็กๆ เดินกลับออกมาจากคอกม้าทีละคนต่างก็มีสีหน้าผิดหวัง ที่หานาฬิกาพกไม่เจอ ขณะที่ชาวนากำลังถอดใจคิดจะเลิกหานั่นเอง ก็มีเด็กคนหนึ่งมากระซิบกระซาบบอกกับเขาว่า “ผมจะลองเข้าไปหาดูอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ขอให้ผมเข้าไปคนเดียวเท่านั้น” ชาวนามองตามหลังเด็กชายไปอย่างไม่มั่นใจ คิดในใจว่า…พวกเราแทบจะพลิกคอกม้าหายังไม่เจอ…แล ้วลำพังเด็กคนเดียว จะหาเจอได้อย่างไร…
        เด็กคนนั้นเข้าไปตั้งนานก็ยังไม่กลับออกมา ชาวนาเริ่มสิ้นหวังในขณะที่ชาวนาคิดจะเลิกรอและจากไป นั่นเอง เด็กชายคนนั้นก็เดินออกมาจากคอกม้าในมือของเขาถือนาฬิกาพกเรือนหนึ่ง ชาวนาถามด้วยความแปลกใจว่า “เจ้าหาเจอได้อย่างไร” เด็กชายบอกว่า “พอเข้าไปข้างใน ผมก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแต่นั่งเงียบๆ อยู่ที่พื้นไม่นานผมก็ได้ยินเสียง ติ๊กต๊อก ติ๊กต๊อก จากนั้นผมก็เดินตามเสียงไปแล้วผมก็เจอนาฬิกาเรือนนี้ ”
ข้อคิดเตือนใจ
        ขณะที่เรากลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับชีวิตหรือหน้าที่การ งาน บางครั้งก็จำเป็นอย่างมากที่จะต้องสงบจิตสงบใจ มาคิดตรึกตรองดูว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้น ถูกต้องและเหมาะสมดีแล้วหรือเปล่า และนี่ก็อาจจะเป็นความหมายที่แท้จริงของคำโบราณ ที่ว่า “บนเส้นทางของชีวิต บางครั้งก็ควรตึงเครียด บางครั้งก็ควรผ่อนคลาย”
http://comvariety.com/article/7096

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เปลี่ยน“ปัญหา“ให้เป็น“ปัญญา“


"ปัญหา"เป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็อยากเลี่ยงหลีก แต่ไม่มีใครที่หนีมันพ้นได้ เพราะปัญหาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ในเมื่อเราไม่มีวันหนีปัญหาพ้น จะไม่ดีกว่าหรือหากเราเตรียมใจให้พร้อมเพื่อต้อนรับมันอยู่เสมอ
การมองว่า "ปัญหา"เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่ไม่มีใครหนีพ้น เช่นเดียวกับ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เราเผชิญกับปัญหาได้โดยไม่ทุกข์มากนัก แต่วิธีที่ดีกว่านั้นก็คือการเปลี่ยน "ปัญหา" ให้กลายเป็น "ปัญญา" เพราะนอกจากจะไม่ทุกข์หรือ "ขาดทุน"แล้ว ยังได้ประโยชน์เป็น "กำไร"กลับมาด้วย
ขอให้สังเกตคำว่า "ปัญหา" กับ "ปัญญา" นั้นมีความใกล้เคียงกันมาก ต่างกันแค่ตัวเดียวคือ "ห" กับ "ญ" ในชีวิตจริง สิ่งที่เรียกว่า "ปัญหา" นั้นก็อยู่ใกล้กับ "ปัญญา" มากเช่นเดียวกันปัญหาสามารถก่อให้เกิดปัญญาได้หากรู้จักมองหรือใคร่ครวญกับมัน นักเรียนจะเฉลียวฉลาดได้ก็เพราะหมั่นทำการบ้าน การบ้านนั้นคืออะไรหากไม่ใช่ปัญหาหรือโจทย์ที่ต้องขบ คิด ถ้าครูไม่ขยันให้โจทย์หรือตั้งคำถามให้นักเรียนขบคิด นักเรียนก็ยากที่จะเกิดปัญญาได้คนทั่วไปนั้นเมื่อเจอปัญหาก็จะเป็นทุกข์หรือกลัดกลุ้มไปกับมัน แต่ถ้าลองตั้งสติและพิจารณาให้ดี ปัญหาก็จะกลายเป็นปัญญาได้ไม่ยาก เมื่อ ๘๐ ปีก่อน นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษคนหนึ่งได้เพาะเลี้ยงแบคทีเรียไว้ในจานเพื่อใช้ในการศึกษาวิจัยเรื่องไข้หวัด วันหนึ่งเขาพบว่ามีเชื้อราเข้าไปปนเปื้อนและทำลายแบคทีเรียที่เพาะเอาไว้ นั่นหมายความว่าเขาต้องเพาะแบคทีเรียขึ้นใหม่
เจ้าเชื้อราตัวนี้สร้างปัญหาให้นักวิทยาศาสตร์ผู้นี้ แต่แทนที่จะโมโห เขากลับฉุกคิดขึ้นมาว่าถ้ามันฆ่าแบคทีเรียที่เพาะในจานได้ มันก็ต้องกำจัดแบคทีเรียที่ในร่างกายคนได้เช่นกัน ปัญญาเกิดขึ้นแก่นักวิทยาศาสตร์ผู้นี้ทันที นำไปสู่การค้นพบเพนนิซิลินหรือยาปฏิชีวนะ ซึ่งในเวลาไม่นานสามารถช่วยชีวิตผู้คนนับร้อยล้านคนทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์ผู้นี้คืออเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง นั่นเองโลกก้าวหน้าได้เพราะเรารู้จักเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา มองให้แคบลงมา ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน มีคนจำนวนไม่น้อยที่ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหลังจากประสบวิกฤต บางคนเป็นโรคหัวใจเจียนตาย ภัยร้ายได้บังคับให้เขาต้องหันมาทบทวนชีวิตของตน และพบว่าการหมกมุ่นอยู่กับตนเอง ตัดขาดจากผู้อื่น และจมอยู่กับความหดหู่เศร้าหมอง เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เขามีอาการดังกล่าว เขาจึงปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เข้าหาผู้คน ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อผู้อื่น และปล่อยวางความกังวลหม่นหมอง ไม่นานสุขภาพของเขาก็ดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น เขายอมรับว่า การเป็นโรคหัวใจเป็นสิ่งดีที่สุดอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับเขาเมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา แทนที่จะคร่ำครวญหรือตีอกชกหัว ลองใคร่ครวญดูให้ดี จะพบว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเอง ถ้าเรามองสัญญาณนี้ออก นั่นแสดงว่าปัญญาได้เกิดแก่เราแล้ว ขั้นต่อไปก็คือเปลี่ยนทัศนคติ พฤติกรรม หรือการใช้ชีวิตให้ถูกต้อง เหมาะสม และชาญฉลาดไม่ควรมองว่าปัญหาคือ "ทางตัน" ถ้ามองให้ดี ในตัวปัญหานั้นก็มี "ทางออก" ด้วยเหมือนกัน อย่าลืมว่า สลักที่ล็อคประตูนั้นก็เป็นสลักอันเดียวกับที่ใช้เปิดประตู สวิตช์ที่ปิดไฟก็เป็นอันเดียวกับที่ใช้เปิดไฟให้สว่าง ฉันใดก็ฉันนั้นในคำถามก็มีคำตอบเฉลยอยู่จะว่าไปแล้วปัญหาหรือความทุกข์ทั้งหลายไม่ได้มีไว้ให ้เราคร่ำครวญ แต่มีไว้ให้ใคร่ครวญนั่นเอง ในความทุกข์นั้นก็มีทางออกจากความไม่ทุกข์แฝงอยู่เสมอ ในภาพยนตร์เรื่อง Batman Begins เด็กชายบรู๊ซ (ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นมนุษย์ค้างคาว)ได้พลัดตกลงไปในหลุม เมื่อพ่อช่วยขึ้นมาแล้ว ได้ถามลูกว่า "รู้ไหมทำไมคนเราถึงหกล้ม?" ลูกนึกไม่ออก พ่อจึงเฉลยว่า "ก็เพื่อเราจะได้รู้วิธีลุกขึ้นมาไงล่ะ"ความทุกข์มีขึ้นก็เพื่อสอนเราให้รู้จักหลุดพ้นจากความทุกข์ ปัญหาเกิดขึ้นก็เพื่อสอนเราให้เกิดปัญญา ด้วยเหตุนี้ปัญหาจึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากคือครูที่มาสอนให้เราฉลาดขึ้นนั่นเอง

จุดที่ต่ำสุดของชีวิต ที่ทุกคนมีโอกาสประสบ เป็นได้ทั้งจุดจบ และบทเรียนที่ดี ชีวิตคนเราก็เหมือนกับทะเลถ้าร่มรื่นเกินไปก็จะไม่สวยงาม
ที่มา : http://www.wutthi.com

ความสุข ๕ ขั้น


ขั้นที่ ๑ คือ ความสุขจากการเสพวัตถุ หรือสิ่งบำรุงบำเรอภายนอกที่นำมาปรนเปรอ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของเรา ข้อนี้เป็นความสุขสามัญที่ทุกคนในโลกปรารถนากันมาก
ความสุขประเภทนี้ขึ้นต่อสิ่งภายนอก เพราะว่าเป็นวัตถุ หรืออามิสภายนอก เมื่อเป็นสิ่งภายนอก อยู่นอกตัว ก็ต้องหา ต้องเอา เพราะฉะนั้นสภาพจิตของคนที่หาความสุขประเภทนี้จึงเต็มไปด้วยความคิดที่จะได้จะเอา แล้วก็ต้องหา และดิ้นรนทะยานไป เมื่อได้มาก ก็มีความสุขมาก แล้วก็เพลิดเพลินไปกับความสุขเหล่านั้น พอได้มาก ๆ เข้า ต่อมาก็นึกว่าตัวเองเก่งมาก ๆ ไป ๆ มา ๆ โดยไม่รู้ตัวก็มีภาวะอย่างหนึ่งเกิดขึ้น คนจำนวนมากสมัยนี้มีลักษณะอย่างนี้ คืออยู่ในโลกนานไป เติบโตขึ้น กลายเป็นคนที่สุขได้ยากขึ้น ต่างจากคนที่รักษาดุลยภาพของชีวิตไว้ได้ โดยพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุขควบคู่ไปด้วย จะเป็นคนที่มีมีลักษณะตรงข้าม คือยิ่งอยู่ในโลกนานไป ก็ยิ่งเป็นคนที่สุขได้ง่ายขึ้น
ส่วนคนที่สูญเสียความสามารถที่จะมีความสุข แม้จะหาสิ่งเสพบำเรอความสุขได้มาก แต่ความสุขก็ที่เดิมเรื่อยไป เพราะข้างนอกได้มา ๑ แต่ข้างในก็ลดลงไป ๑ เลยเหลือ ๐ ที่เดิม กระบวนการวิ่งหาความสุขจึงดำเนินไปไม่รู้จักจบสิ้น เพราะความสุขวิ่งหนีเราไปเรื่อย ๆ
เพราะฉะนั้น จะต้องพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุขไว้ด้วยคู่กัน เป็นคนที่สุขได้ง่ายก็เป็นอันว่าสบาย อย่างน้อยก็ฝึกตัวเองไว้ อย่าให้ความสุขต้องขึ้นกับวัตถุมากเกินไป
ศีล ๘ เป็นตัวอย่างของวิธีฝึกไม่ให้เราสูญเสียอิสรภาพ โดยไม่เอาความสุขไปขึ้นต่อวัตถุมากเกินไป

ขั้นที่ ๒ ความสุขจากการให้
พอเจริญคุณธรรม เช่น มีเมตตากรุณา มีศรัทธา เราก็มีความสุขเพิ่มขึ้นอีกประเภทหนึ่ง แต่ก่อนนี้ชีวิตเคยต้องได้วัตถุมาเสพต้องได้ ต้องเอา เมื่อได้จึงจะมีความสุข ถ้าคือเสียก็ไม่มีความสุข แต่คราวนี้ คุณธรรมทำให้ใจเราเปลี่ยนไป เหมือนพ่อแม่ที่มีความสุขเมื่อให้แก่ลูก เพราะรักลูก ความรักคือเมตตา ทำให้อยากให้ลูกมีความสุขพอให้แก่ลูกแล้วเห็นลูกมีความสุข ตัวเองก็มีความสุข เมื่อพัฒนาเมตตากรุณาขยายออกไปถึงใคร ให้แก่คนนั้น ก็ทำให้ตัวเองมีความสุขศรัทธาในพระศาสนาในการทำความดี และในการบำเพ็ญประโยชน์เป็นต้น ก็เช่นเดียวกัน เมื่อให้ด้วยศรัทธา ก็มีความสุขจากการให้นั้น ดังนั้นคุณธรรมที่พัฒนาขึ้นมาในใจ เช่น เมตตากรุณา ศรัทธา จึงทำให้เรามีความสุขจากการให้ การให้กลายเป็นความสุข

ขั้นที่ ๓ ความสุขเกิดจากการดำเนินชีวิตถูกต้องสอดคล้องกับความเป็นจริงของธรรมชาติ ไม่หลงอยู่ในโลกของสมมติ ที่ผ่านมานั้นเราอยู่ในโลกของสมมติมาก และบางทีเราก็หลงไปกับความสุขในโลกของสมมตินั้น แล้วก็ถูกสมมติ ล่อหลอกเอา อยู่ด้วยความหวังสุขจากสมมติที่ไม่จริงจังยั่งยืน และพาให้ตัวแปลกแยกจากความจริงของธรรมชาติ และขาดความสุขที่พึงได้จากความเป็นจริงในธรรมชาติเหมือนคนทำสวนที่มัวหวังความสุขจากเงินเดือน เลยมองข้ามผลที่แท้จริงตามธรรมชาติจากการทำงานของตัว คือความเจริญงอกงามของต้นไม้ ทำให้ทำงานด้วยความฝืนใจเป็นทุกข์ ความสุขอยู่ที่การได้เงินเดือนอย่างเดียว ได้แต่รอความสุขที่อยู่ข้างหน้า แต่พอใจมาอยู่กับความเป็นจริงของธรรมชาติ อยากเห็นผลที่แท้จริงตามธรรมชาติของการทำงาน ของตน คือ อยากเห็นต้นไม้เจริญงอกงาม หายหลงสมมติ ก็มีความสุขในทำสวน และได้ความสุข จากการชื่นชมความเจริญงอกงามของต้นไม้อยู่ตลอดเวลา ดังนั้น คนที่ปรับชีวิตได้ เข้าถึงความจริงของธรรมชาติ จึงสามารถหาความสุขจากการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามความเป็นจริงของธรรมชาติ ได้เสมอ
พอปัญญามาบรรจบให้วางใจถูก ชีวิตและความสุขก็ถึงความสมบูรณ์

ขั้นที่ ๔ ความสุขจากความสามารถปรุงแต่ง คนเรานี้มีความสามารถในการปรุงแต่ง ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของมนุษย์ ปรุงแต่งทุกข์ก็ได้ ปรุงแต่งสุขก็ได้ โดยเฉพาะที่เห็นเด่นชัดก็คือปรุงแต่งความคิดมาสร้างสิ่งประดิษฐ์ จนมีเทคโนโลยีต่าง ๆ มากมาย
ที่สำคัญก็คือในใจของเราเอง เรามักจะใช้ความสามารถในทางที่เป็นผลร้ายแก่ตนเอง แทนที่จะปรุงแต่งความสุข เรามักจะปรุงแต่งทุกข์ คือเก็บเอาอารมณ์ที่ไม่ดี ที่ขัดใจ ขัดหู ขัดตา เอามาครุ่นคิดให้ไม่สบายใจ ขุ่นมัว เศร้าหมอง โดยเฉพาะคนที่สูงอายุนี่ ต้องระวังมาก ใจคอยจะเก็บอารมณ์ที่กระทบกระเทือน ไม่สบาย แล้วก็มาปรุงแต่ง ให้เกิดความกลุ้มใจ ว้าเหว่ เหงา เรียกใช้ความสามารถไม่เป็น
พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เรารู้จักใช้ความสามารถในการปรุงแต่งแทนที่จะปรุงทุกข์ ก็ปรุงสุข เก็บเอาแต่อารมณ์ที่ดีมาปรุงแต่งใจให้สบาย แม้แต่หายใจ ที่ยังให้ปรุงแต่งความสุขไปด้วย ลองฝึกดูก็ได้เวลาหายใจเข้า ก็ทำใจให้เบิกบาน เวลาหายใจออก ก็ทำใจให้โปร่งเบา

ขั้นที่ ๕ สุดท้าย ความสุขเหนือการปรุงแต่ง คราวนี้ไม่ต้องปรุงแต่ง คืออยู่ด้วยปัญญา ที่รู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวิต การเข้าถึงความจริงด้วยปัญญาเห็นแจ้ง ทำให้วางจิตวางใจลงตัวสนิทสบาย กับทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่อย่างผู้เจนจบชีวิต
สภาพจิตนี้จะเปรียบเทียบได้เหมือนสารถีที่เจนจบการขับรถสารถีผู้ชำนาญในการขับรถนั้น จะขับม้าให้นำรถเข้าถนน และวิ่งด้วยความเร็วพอดี ตอนแรกต้องใช้ความพยายาม ใช้แซ่ ดึงบังเหียนอยู่พักหนึ่ง แต่พอรถม้านั้นวิ่งเข้าที่เข้าทางดี ความเร็วพอดี อยู่ตัวแล้ว สารถีผู้เจนจบ ผู้ชำนาญแล้วนั้น จะนั่งสงบสบายเลย แต่ตลอดเวลานั้นเขามีตลอดเวลานั้นเขาไม่มีความประหวั่น ไม่มีความหวาด จิตเรียบสนิท ไม่เหมือนคนที่ยังไม่ชำนาญ จะขับรถนี่ ใจคอไม่ดี หวาดหวั่น ใจคอยกังวลโน่นนี่ ไม่ลงตัว แต่พอรู้เข้าใจความจริงเจนจบดี ด้วยความรู้นี่แหละ จะปรับความรู้สึกให้ลงตัว เป็นสภาพจิตที่เรียบสงบสบายที่สุด
คนที่อยู่ในโลกด้วยความรู้เข้าใจโลกและชีวิตตามเป็นจริง จิตเจนจบกับโลกและชีวิต วางจิตลงตัวพอดี ทุกอย่างเข้าที่อยู่ตัวสนิทอย่างนี้ ท่านเรียกว่าเป็นจิตอุเบกขา เป็นจิตที่สบาย ไม่มีอะไรกวนเลยเรียบสนิท เป็นตัวของตัวเอง ลงตัว เมื่อทุกสิ่งเข้าที่ของมันแล้ว คนที่จิตลงตัวเช่นนี้ จะมีความสุขอยู่ประจำตัวอยู่ตลอดเวลา เป็นสุขเต็มอิ่มอยู่ข้างใน ไม่ต้องหาจากข้างนอก และเป็นผู้มีชีวิตที่พร้อมที่จะทำเพื่อผู้อื่นได้เต็มที่ เพราะไม่ต้องห่วงกังวลถึงความสุขของตนและไม่มีอะไรที่จะต้องทำเพื่อตัวเองอีกต่อไป จะมองโลกด้วยปัญญาที่รู้ความจริง และด้วยใจที่กว้างขวางและรู้สึกเกื้อกูล
คนที่พัฒนาความสุขมาถึงขึ้นสุดท้ายแล้วนี้ เป็นผู้พร้อมที่จะเสวยความสุขทุกอย่างใน ๔ ข้อแรก ไม่เหมือนคนที่ไม่พัฒนา ได้แต่หาความสุขประเภทแรกอย่างเดียว เมื่อหาไม่ได้ก็มีแต่ความทุกข์เต็มที่และในเวลาที่เสพความสุขนั้น จิตใจก็ไม่โปร่งไม่โล่ง มีความหวั่นใจหวาดระแวงขุ่นมัว มีอะไรรบกวนอยู่ในใจ สุขไม่เต็มที่ แต่พอพัฒนาความสุขขึ้นมา ยิ่งพัฒนาถึงขั้นสูงขึ้น ก็มีโอกาสได้รับความสุขเพิ่มขึ้นหลายทาง กลายเป็นว่า ความสุขมีให้เลือกได้มากมาย และจิตใจที่พัฒนาดีแล้ว ช่วยให้เสวยความสุขทุกอย่างได้เต็มที่ โดยที่ในขณะนั้น ๆ ไม่มีอะไรรบกวนให้ขุ่นข้องหมองมัว
เป็นอันว่าธรรมะ ช่วยให้เรารู้จักความสุขในการดำเนินชีวิตมากยิ่ง ๆขึ้นไป สู่ความเป็นผู้เต็มเปี่ยมสมบูรณ์ จนกระทั่งความสุขเป็นคุณสมบัติของชีวิตอยู่ภายในตัวเองตลอดทุกเวลา ไม่ต้องหาไม่ต้องรออีกต่อไป

ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
คู่มือชีวิต พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตฺโต); พิมพ์ครั้งที่ 3 กรกฎาคม 2547, ศรีชัยการพิมพ์ กรุงเทพฯ, หน้า 141-150. ที่มา : กรมสุขภาพจิต

8 วิธีเพิ่มสุขด้วยใจ

การดำเนินชีวิตของคนในยุคปัจจุบันต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยปัจจัยที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดความเครียด ความวิตกกังวล อึดอัดคับข้องนานัปการ จึงอาจกล่าวได้ว่าตั้งแต่เริ่มต้นของวัน เราจะต้องผจญกับปัญหาต่างๆ เช่น สภาพการจราจรที่ติดขัด การตกอยู่ท่ามกลางภาวะดิ้นรนแข่งขัน ปัญหาในที่ทำงาน สภาวะทางเศรษฐกิจและสังคม ที่มีความ แปรปรวน ขาดความมั่นคง ด้วยสภาพแวดล้อมและสภาพสังคมที่สับสนวุ่นวายเช่นนี้ ทำให้ผู้คนในปัจจุบันมักละเลยการดูแลเอาใจใส่ต่อสภาพจิตใจของตนเอง ทำให้จิตใจเราอ่อนแอ เกิดความเครียดได้ง่าย
ด้วยปัญหาแวดล้อมที่อยู่รอบตัว ส่งผลต่อจิตใจที่อ่อนแอ เปราะบาง แล้วยังกระทบถึงร่างกาย ดังคำกล่าวที่ว่า "ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว" เช่น ทำให้ระบบการทำงานของร่างกายแปรปรวน อวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้ อาทิ ความดันโลหิตสูง โรคกระเพาะอาหาร ภูมิแพ้ หอบหืด ปวดศีรษะ ไมเกรน เป็นต้น ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุทำลายความสุขในชีวิตของเรา ดังนั้นเราจึงต้องดูแลสภาพจิตใจของเราให้เข้มแข็งและพร้อมที่จะเผชิญหน้าเพื่อให้ผ่านปัญหาต่าง ๆ ไปได้
การแสวงหาความสุขของคนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน หนีไม่พ้นการสร้างความสุขจากการที่ได้ครอบครองวัตถุ ซึ่งเป็นเหตุผลทำให้ยิ่งต้องมุ่งมั่นหาเงินให้มาก เพื่อที่จะได้มีกำลังซื้อและสรรหาสิ่งต่าง ๆ มาสนอง ความต้องการของตน ได้อย่างเต็มที่ ทำให้ชีวิตคนในปัจจุบันต้องวนเวียนอยู่ใน วัฎจักรของการแสวงหาที่ไม่มีวันสิ้นสุด ขณะเดียวกันก็ตกอยู่ในสภาวะที่ตึงเครียด สับสนในชีวิตด้วยขาดความเข้าใจในวิธีการสร้างความสุขให้กับชีวิตได้อย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้เราจึงควรมีแนวทางการสร้างความสุขด้วยใจ เพื่อการพบความสุขที่แท้จริง...
รายงานวิจัยต่าง ๆ ได้สรุปไว้ว่า ผู้ที่มีความสุขมักจะประสบความสำเร็จมากกว่าบุคคลอื่น ๆ ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจาก คนที่มีความสุขมักจะมองโลกในแง่ดี เข้าสังคมได้ง่าย เป็นที่ชื่นชอบ มีความตื่นตัวและมีพลัง ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ คือ ปัจจัยที่สำคัญที่นำทางให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จ แล้วทำอย่างไรล่ะ ที่เราจะมีความสุขได้ โดย Joanna Brandi ได้เสนอ 8 วิธี ในการสร้างเสริมความสุข ได้แก่
1) การมองในแง่ดี (optimism) มีงานวิจัยกล่าวว่า คนที่มองในแง่ดีมีอายุยืนยาวกว่าคนที่มองในแง่ไม่ดี ถึง 10 ปี
2) การแสดงความขอบคุณ (gratitude) การแสดงความขอบคุณต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ ส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่ดีรอบข้างและเป็นวัฒนธรรมที่ดีในสังคม
3) ให้อภัย (forgiveness) การสร้างความสงบสุข เป็นหนทางแห่งความสุข
4) พัฒนาตนเองทางการพูด (improve yourself- talk) การพูดในทางบวกช่วยลดความเครียดและทำให้สมองผ่อนคลาย มีความคิดสร้างสรรค์ และแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้
5) ปลดปล่อย (flow) ลืมสิงที่ไม่ดี ปล่อยให้มันผ่านไป การลืม เป็นวิธีหนึ่งที่ส่งเสริมความสุขที่ดี
6) มีความสุขหรือเพลิดเพลินกับสิ่งที่ทำ (savor) ความเพลิดเพลินกับสิ่งที่ทำ เราสามารถสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทั้งก่อนที่เราจะลงมือทำ ขณะที่ทำ และคิดถึงมัน หลังจากงานได้ลุล่วงไปแล้ว
7) มองมุมใหม่ (reframe) การมองสิ่งเดิมในมุมใหม่ ๆ จะช่วยให้ความคิดทางลบเปลี่ยนแปลงไปในทางบวกมากขึ้น
8) การสร้างความสุขจากสิ่งที่เราทำได้ดี (building on strength) ความสุขนั้นจะเป็นความสุขที่ยั่งยืนถ้าเป็นความสุขที่เราได้ทำสิ่งที่เราทำได้ดี หาโอกาสทำในสิ่งที่ตนเองทำได้ดีแล้วคุณจะไม่เบื่อและมีความสุข
เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนเกิดมาจะมีทั้งทุกข์และสุขคละเคล้ากันไปเป็นสีสันของชีวิต หากท่านไม่เคยทุกข์ ท่านก็จะไม่รู้ว่าความสุขดีกว่าความทุกข์อย่างไร และหากท่านไม่เคยมีความทุกข์ ท่านก็จะไม่รู้ว่าความสุขนั้นมีค่าเพียงใด เพราะคนเราหลีกเลี่ยงความทุกข์แล้วเลือกแต่ความสุขไม่ได้ เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับความทุกข์และเรียนรู้ที่จะสร้างความสุข ให้แก่ชีวิต น่าจะเป็นการง่ายกว่าการพยายามหนีจากความทุกข์ ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ที่กำลังทุกข์ มีจิตใจที่เข้มแข็งและสร้างความสุขได้ในเร็ววัน...

ขอขอบคุณข้อมูลจาก lauriermybrand.com
ภาพประกอบจาก www.photos.com

อยากมีความสุข ต้องนึกถึงแต่เรื่องดีๆ ในชีวิต

อยากมีความสุข ต้องนึกถึงแต่เรื่องดีๆ ในชีวิต
ถ้าในช่วงชีวิตคุณที่ผ่านมา มีแต่เรื่องราวที่เป็นสีกุหลาบและไร้ซึ่งความเศร้าโศกเสียใจแล้วล่ะก็ มันจะแปลว่าคุณนั้นจะมองชีวิตต่อไปในวันข้างหน้าอย่างมีความสุข ตรงข้ามกันคนที่มักจะโฟกัสไปกับเรื่องราวที่แย่ๆ ที่ผ่านมาในชีวิต

การศึกษาใหม่ที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร Personality and Individual Differences ได้ทำการทดสอบและหาข้อสรุปลักษณะของคน 5 ประเภท ซึ่งมีทั้งลักษณะของคนที่ชอบเข้าสังคม ผู้เป็นโรคทางระบบประสาท คนที่เปิดเผยตรงไปตรงมา คนที่จริงจังเอาการเอางาน และคนที่เป็นมิตรที่มักจะเห็นด้วยกับคนอื่นๆเสมอ โดยเชื่อมโยงกับมุมมองและความพึงพอใจในชีวิตของพวกเขาเหล่านี้

ผลการศึกษาเป็นข่าวดีที่ทุกคนสามารถมีแต่ความสุขสดชื่นในชีวิตได้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ยากสำหรับการปรับเปลี่ยนลักษณะหรือบุคลิกภาพของตัวเองให้เข้ากับสังคมแวดล้อมเพื่อตัดปัญหาและจะได้ไม่ต้องเจอกับเรื่องแย่ๆ แต่คุณสามารถที่จะเปลี่ยนมุมมองในการใช้ชีวิตด้วยการคิดถึงช่วงเวลาที่ดีๆเพื่อเป็นการเพิ่มพลังแห่งความสุขในชีวิตได้

นักวิจัยชี้ให้เห็นว่า วิธีคิด ความรู้สึกนึกคิดและบุคลิกภาพของบุคคลนั้น เป็นตัวชี้วัดที่มีประสิทธิภาพของการมีความสุขในชีวิต เพราะสมมติว่ามักจะคิดในแง่ลบ รู้สึกวิตกกังวลมากเกินเหตุ ไม่มั่นใจในตัวเองหรือแม้กระทั่งชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นแล้วล่ะก็ ความทุกข์ เศร้าโศกเสียใจและเรื่องอะไรที่ไม่ดีต่างๆก็จะถาโถมเข้ามาหาเราเสมอ และในทางตรงข้ามถ้าเราคิดถึงแต่เรื่องดีๆ ช่วงเวลาที่ดีๆที่เกิดขึ้น และมองเรื่องแย่ๆไปในมุมที่แตกต่างไปบ้าง ความสุขจะเกิดขึ้นกับตัวเราอยู่เสมอและทำให้คิดได้ว่าเราเองก็มีชีวิตที่ดีทีเดียว

ลองคิดใหม่ทำใหม่ มองสิ่งต่างๆ ในแง่บวก รู้จักซึมซับความรู้สึกอื่นๆบ้าง ไม่ว่าจะเป็นความโศกเศร้าหรือความโกรธที่เกิดขึ้น แล้วยอมรับในสิ่งที่มีและสถานภาพที่เป็น ความสุขในชีวิตที่อยากมีก็จะหาได้ไม่ยากเลย

Source: AFP Relax News

วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ล้มทั้งยืน ...ดีกว่าล้มไม่เป็น

อย่าคิดว่าสูญเสียแล้วชีวิตจะต้องเป็นศูนย์ เรานับหนึ่งใหม่ได้เสมอ หากเราคิดจะนับซะอย่าง"
  
      ถ้าสิ่งที่เราคาดหวัง...ไม่เป็นดั่งหวัง ถ้าสิ่งที่เราพยายามทุ่มเททำสุดแรงกายแรงใจไม่ประสบผลสำเร็จ ถ้าสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นมันก็เกิดขึ้น และได้สร้างความบอบช้ำ จนทำให้เราต้องจมอยู่กับความทุกข์
      เรากำลังก้าวสู่ "ชีวิตที่เป็นจริง" แล้วหล่ะ เพราะความเป็นจริงของชีวิต จะสอนให้เรารู้จักยอมรับความพ่ายแพ้สอนให้เรารู้จักสูญเสียน้ตา เพื่อที่จะได้รอยยิ้มคืน กลับมาเป็นรางวัลตอบแทน แต่มันก็ไม่เคยทำให้ใครหมดสิ้นความหวัง หมดสิ้นพลังและกำลังใจไปกับความพ่ายแพ้ เพียงแค่ความเป็นจริงสอนให้พวกเราทุกคนรู้ว่า
       ...........อย่าเพียรสร้างความหวัง
       แต่ให้เชื่อมั่นในความหวัง............

      เพราะความเชื่อมั่นจะนำพาเราไปพบกับ "หนทางสู่ความสำเร็จ" แม้ว่าจะต้องฝ่าฟันอะไรอีกมากมายกว่าจะถึงวันนั้น แม้ว่าจะต้องล้มลงอีกสักกี่ครั้ง แม้ว่าจะต้องผิดหวังอย่างแรงอีกสักกี่หนก็ตาม ปล่อยให้ชีวิตผิดพลาดเสียบ้าง ปล่อยให้ความคาดหวังได้เจอกับความผิดหวัง ปล่อยให้ความฝันกลายเป็นฝันค้างลอยกลางอากาศ ปล่อยให้อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด แม้ว่าเกิดขึ้นแล้วจะเลวร้ายกับชีวิตก็ตามที เพราะทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้น จะช่วยสอนและช่วยเป็นบทเรียนอันล้ำค่าให้แก่ชีวิต ที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วบนโลกใบนี้
      คุณบอย โกสิยพงศ์ เคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสารเล่มหนึ่ง เขาพูดให้แง่คิดที่ดีเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมันอาจจะสร้างบาดแผลให้กับใครหลายๆ คนมาบ่อยครั้ง คุณบอยพูดไว้ว่า...ไม่มีอะไรที่อยู่กับเราตลอดชีวิต ทุกอย่างมันก็รอเวลาจากเราไปทั้งนั้น
      เชื่อว่าถ้าชีวิตคนเราไม่ยึดติด ไม่ต้องแขวนชีวิตไว้กับความคาดหวัง เวลาที่เราสูญเสีย หรือเวลาที่เราต้องเจอกับความล้มเหลว เราคงมีภูมิต้านทานมากพอที่จะเอาไว้ต่อสู้กับความท้อแท้ อย่าคิดว่าสูญเสียแล้วชีวิตจะต้องเป็นศูนย์ เพราะว่าเรานับหนึ่งใหม่ได้เสมอหากเราคิดที่จะนับซะอย่าง ไม่มีอะไรบนโลกที่น่ากลัว และไม่จำเป็นต้องกลัวกับความเป็นจริงของชีวิต
   
        "มีพบก็ต้องมีจาก มีได้ก็ต้องมีเสีย
       และมีสุขก็ต้องมีทุกข์เป็นสัจธรรม"


      เมือ่ไรที่เราได้รู้จักสัมผัส และได้เรียนรู้กับชีวิตทั้งสองด้าน เมื่อนั้นเราจะไม่รู้สึกเสียดาย หากเราได้มีโอกาสล้มทั้งยืน แต่เราจะเสียใจไปตลอดชีวิตหากเราไม่สามารถก้าวข้ามความล้มเหลวที่ผ่านเข้ามาได้
    มีคนเคยบอกเอาไว้ว่า...การตั้งความหวัง คือการเสี่ยงกับความเจ็บปวด การพยายาม คือการเสี่ยงกับความล้มเหลว แต่ยังไงก็ต้องเสี่ยง เพราะในสิ่งที่อันตรายที่สุดในชีวิตก็คือ การไม่เสี่ยงอะไรเลย
  ล้มลงสักกี่ครั้ง ผิดหวังมาสักกี่หน ลุกขึ้นยืนให้ได้ แล้วสักวันเราจะเจอความสุข เพราะความสุขไม่ได้หนีจากเราไปไหนหรอก มันอยู่ใกล้เราแค่เพียงเอื้อมมือจริงๆ ถ้าหากเราไม่ได้ไปตัดสินว่า โลกมันควรเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น และไม่ได้ตั้งกฎเกณฑ์ให้กับตัวเองมากจนเกินไป เวลาคิดหรือทำอะไรสักอย่างแล้วมีข้อบังคับ มีกรอบ และสร้างมโนภาพความสำเร็จไว้ล่วงหน้า เมื่ออะไรๆ ไม่เป็นไปตามกฎของเรา เราก็ทุกข์ เราก็เสียใจ และเราก็ใจเสียเอาได้ง่ายๆ
      มีคนเคยบอกไว้ว่า...สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ ไม่ใช่สิ่งที่จะกำหนดความสุขของคุณ แต่มันเป็นความคิดของคุณเองต่างหาก ความคิดที่มีต่อสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับคุณนั่นเอง จะสุขหรือจะทุกข์ก็ขึ้นอยู่ที่เราทั้งนั้นเป็นคนกำหนด ล้มทั้งยืนเสียบ้างก็คงไม่เสียหายอะไร แต่ล้มไม่เป็นเลยนี่สิ...ลำบาก
     ลองคิดดูเล่นๆ ซิว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตต่อไป...หลังจากนี้

ทำอย่างไรให้ใจสะอาด

ทำไมบางคนถึงทุกข์ร้อน วิตกกังวล กระวนกระวาย ไม่สบายใจ ไม่ปลอดโปร่งอยู่เสมอ
คำตอบง่ายมากเพราะเขาแบกความคิดและความรู้สึกหลายอย่างเอาไว้ ไม่ปลดปล่อย ไม่ปรับเปลี่ยนจนกระทั่งมันกลายเป็นขยะหรือคราบสกปรกเกาะติดหัวใจเวลามีอะไรมากระทบหรือสัมผัสกับความรู้สึก ก็จะมีคราบเปื้อนเหล่านี้เข้าไปเจือปนความสดใสที่ควรจะมี จึงมีได้ไม่เต็มที่
ทำไมเราจึงปล่อยให้ใจเป็น "ถังขยะ" ล่ะ

คำตอบก็คือเราไม่ค่อยรู้ตัวหรอก ว่าเราแอบทิ้งขยะลงไปในใจของเราเองหรือมีใครทิ้งขยะลงมาในหัวใจของเราบ้างถ้าเราไม่หมั่นสำรวจบางทีเราอาจมีขยะรกเรื้อหัวใจอยู่มากมายเลยก็ได้ อะไรบ้าง ที่เป็นขยะหัวใจ

1. ความไม่พอใจ
มีหลายเรื่องเลยนะ ในชีวิต ที่เราไม่พึงพอใจถ้าจะแบ่งให้กว้างที่สุดเพื่อให้เห็นภาพสิ่งที่ทำให้เราไม่พอใจมีอยู่ 2 ส่วนใหญ่ๆคือ ไม่พอใจคนอื่น กับไม่พอใจตัวเองไม่พอใจคนอื่นเกิดได้มากกว่าความไม่พอใจในตัวเองเพราะธรรมชาติของคนย่อมรักตัวเองมากกว่าคนอื่น ย่อมโทษคนอื่นก่อนโทษตัวเองย่อมเห็นความผิดของคนอื่นได้ก่อนและได้ชัดกว่าความผิดของตนเอง

ขณะเดียวกันเราต่างก็รู้ว่าโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบมีเกิน มีขาดจนกว่าจะค่อยๆ ปรับปรุงพัฒนาให้มีความพอดีได้ จึงจะเข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบมากที่สุดฉะนั้น เราควรมองด้านดีของกันและกันให้มากกว่าด้านที่บกพร่อง

ถ้าเราเริ่มจากมองด้านดีของกันและกันแล้วความพึงพอใจ และความนับถือในกันและกันก็จะเกิดซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สร้างสรรค์กว่าการจับผิดกัน แล้วนำไปสู่ความไม่พอใจ
2. ความผิดหวัง
2 สิ่งที่ไม่ควรตั้งความหวังไว้สูงนักคือ หวังว่าเรื่องบางเรื่อง เหตุการณ์บางเหตุการณ์ หรือคนบางคนในอดีตจะย้อนกลับมากับหวังว่าอนาคตจะเป็นไปตามที่เราวาดหวังเสียทุกประการอดีตเป็นสิ่งที่ยากจะเรียกหาให้ย้อนกลับคืนมาเป็นเหมือนเดิมดีที่สุดคือใช้อดีตเป็นบทเรียน ให้สติให้เราเรียนรู้ทั้งโอกาสและความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น เพื่อให้วันนี้และวันข้างหน้าดีกว่าอดีตที่เคยเป็น

ส่วนอนาคตย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยไม่สามารถบังคับบงการให้เป็นไปตามความหวังของเราได้เสียทั้งหมดแต่พอจะคาดการณ์ได้ว่าน่าจะเป็นอย่างไรกระนั้นก็ตาม หากไม่เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ก็อย่าได้ทุกข์ร้อนเสียใจและปล่อยความคาดหวังบนความไม่แน่นอนแบบนี้ให้เป็นขยะรกอารมณ์
3. ความอิจฉาริษยา
ขยะอย่างหนึ่งที่รกใจคนที่สุดก็คือความอิจฉาริษยาคนอื่นโดยไม่ทันเฉลียวว่า ทุกครั้งที่เราอิจฉาริษยาใครก็ตามความนับถือตัวเองของเราก็เสื่อมถอยลงไปด้วยเพราะการจะรู้สึกอิจฉาหรือริษยาใครนั้นย่อมมีพื้นฐานมาจากความรู้สึกว่าเขาดีหรือได้ดีกว่าเรา เราจึงอิจฉาเขาเป็นพัลวัน

จงหยุดอิจฉา แล้วมองให้เห็นว่าการที่คนอื่นได้ดีหรือมีดีกว่าเรานั้น เป็นสิ่งที่น่ายินดีควรยินดีกับเขาและปรับเปลี่ยนโน้มน้าวตัวเองให้ทวีความดีดั่งที่เขามีจนเราอิจฉา
4. ความยึดมั่นถือมั่น
ขยะที่เพิ่มพูนความรกเรื้อรุงรังให้ใจได้เป็นอย่างดีอีกประการหนึ่งคือความยึดมั่นถือมั่นคิดว่านั่นก็คนของฉัน นี่ก็บ้านของฉัน รถของฉัน คนรักของฉันตำแหน่งของฉัน ฯลฯจนไม่สามารถปล่อยวางสิ่งนอกตัวเหล่านั้นลงได้

ส่วนใหญ่พบว่า จิตจะปรุงแต่งไปเองว่าสิ่งนี้ฉันรัก สิ่งนี้ฉันเป็นเจ้าของ ใครก็เอาไปจากฉันไม่ได้พอไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ ก็ผูกพันหน่วงเหนี่ยว ยังคงเสียดาย เสียใจและปรุงแต่งจิตเพิ่มเข้าไปว่าฉันนี้แสนทุกข์ระทม

ลองยอมรับความจริงดูบ้างไหม ว่าอะไรๆในโลกนี่ก็ไม่ใช่ของเราอย่างถาวรทั้งสิ้นแม้กระทั่งร่างกายของเรานี้แท้ก็เป็นแค่ของยืมมา ใช้ได้ชาตินี้ชาติเดียว เดี๋ยวก็เสื่อม ก็แก่ ก็ป่วย ก็ตายต้องคืนร่างกายสังขารนี้สู่สภาพดิน น้ำ ลม ไฟ เน่าเปื่อยผุพังไปสิ้นความสวยความหล่อ ตลอดจนลาภยศสรรเสริญทั้งปวง
5. ความกลัว

ใจหลายคน รุงรังไปด้วยความกลัวกลัวเขาจะไม่รักกลัวเงินจะหมด กลัวฝนจะตก กลัวนายจ้างจะเลิกจ้าง กลัวเพื่อนร่วมงานจะได้ดีกว่ากลัวไม่ก้าวหน้า ไม่ได้โบนัส ฯลฯ
กลัวไปทำไมเรื่องบางเรื่องเราตัดสินเองไม่ได้ อยู่นอกเหนือจากการควบคุม ซึ่งกลัวไปก็เท่านั้นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นสักนิดบางเรื่องแทบไม่มีวันมาถึงในชีวิต ก็กลัวล่วงหน้ากลัวจนประสาทเสีย
จงพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกคนและทุกสิ่งในชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีซึ่งต้องเริ่มจากการทำแต่สิ่งที่ดี โปร่งใส ไม่เป็นแผลติดตัวที่ต้องปิดบังซ่อนเร้นและจงขจัดความกลัวออกไปจากใจเพื่อให้เกิดความมั่นใจที่จะใช้ชีวิตของเราให้สมศักดิ์ศรีเพื่อที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อทำให้ชีวิตนี้ดีกว่าเดิม
6. ความอยาก

จง "อยาก" ให้พอดีกับกำลังกาย กำลังทุนและกำลังสติปัญญาของตัวเองอย่าอยากจนเกินกำลัง เพราะจะทำให้สิ้นกำลังได้ง่ายแล้วกลายเป็นคนพ่ายแพ้ อ่อนแอ หมดสิ้นความทะเยอทะยานอยากในชีวิต
ความทะเยอทะยานอยากเหมือนรถ แต่ใจเราคือคนขับรถแล่นด้วยความเร็วกำลังดี เราก็ได้ประโยชน์ จอดอยู่เฉยๆ ก็นิ่งอยู่กับที่แต่หากแล่นฉิวจนเกินควบคุม ก็อันตรายกับชีวิตฉะนั้นใจต้องเป็นนายของความทะเยอทะยานอยากขับเคลื่อนความทะเยอทะยานอยากโดยควบคุมได้
ทำอย่างไรให้ใจสะอาด
เริ่มจากปล่อยวางสิ่งต่างๆ ลง อย่ายึดติดยึดถือให้มากนักแล้วอยู่กับปัจจุบันอะไรที่อยู่กับเรา เป็นของเรา ย่อมอยู่กับปัจจุบันของเราด้วยนั่นคือสิ่งจริงแท้แน่นอน การปล่อยวางสิ่งต่างๆ ลง เท่ากับการเทขยะทิ้งการอยู่กับปัจจุบัน เท่ากับการปิดฝาถังขยะ ไม่เปิดรับขยะใหม่ๆให้ใจต้องสกปรกรกรุงรังอีกเพื่อมีเวลาทำความสะอาดหัวใจให้ผ่องใส เบิกบาน
ใจ...แท้จริงผ่องใสด้วยตัวของมันเองแต่คนที่เป็นเจ้าของหัวใจต่างหาก ที่ชักนำสิ่งต่างๆ มาปะพอก จนใจนั้นหมดสภาพฟื้นหัวใจให้กลับไปผ่องใสดังเดิมกันเถิด ปัดฝุ่นและคราบเขม่าทั้งหลายแล้วเปิดทางให้หัวใจได้หายใจ เต้น และรู้สึกด้วยตัวของมันเอง
อย่าไปบงการหัวใจมากเพราะแทนที่จะเป็นหัวใจ มันจะกลายเป็นถังขยะแทน ^^

วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ชีวิตพอเพียงของมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก Warren Buffet

มีรายการสัมภาษณ์หนึ่งชั่วโมงของสถานีโทรทัศน์ CNBC สัมภาษณ์
วอร์เรน บัพเฟตต์ มหาเศรษฐีอันดับสองของโลก (รองจากบิล เกตส์)
ซึ่งบริจาคเงินให้การกุศล 31,000 ล้านดอลล่าร์
ต่อไปนี้คือแง่มุมบางส่วนที่น่าสนใจยิ่งจากชีวิตของเขา:

1) เขาเริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ขวบ
และปัจจุบันบอกว่ารู้สึกเสียใจที่เริ่มช้าไป!

2) เขาซื้อไร่เล็กๆ เมื่ออายุ 14
โดยใช้เงินเก็บจากการส่งหนังสือพิมพ์

3) เขายังอาศัยอยู่ในบ้านเล็กหลังเดิมขนาด 3 ห้องนอน
กลางเมืองโอมาฮา ที่ซื้อไว้หลังแต่งงานเมื่อ 50 ปีก่อน
เขาบอกว่ามีทุกสิ่งที่ต้องการในบ้านหลังนี้ บ้านเขาไม่มีรั้วหรือกำแพงล้อม

4) เขาขับรถไปไหนมาไหนต้วยตนเอง ไม่มีคนขับรถหรือคนคุ้มกัน

5) เขาไม่เคยเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว
แม้จะเป็นเจ้าของบริษัทขายเครื่องบินส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก

6) บริษัท เบิร์กไช แฮทะเวย์ ของเขามีบริษัทในเครือ 63 บริษัท
เขาเขียนจดหมายถึงซีอีโอของบริษัทเหล่านี้เพียงปีละฉบับเดียว
เพื่อให้เป้าหมายประจำปี
เขาไม่เคยนัดประชุมหรือโทรคุยกับซีอีโอเหล่านี้เป็นประจำ

7) เขาให้กฎแก่ ซีอีโอ เพียงสองข้อ
กฎข้อ 1 อย่าทำให้เงินของผู้ถือหุ้นเสียหาย
กฎข้อ 2 อย่าลืมกฎข้อ 1


8 ) เขาไม่สมาคมกับพวกไฮโซ การพักผ่อนเมื่อกลับบ้าน
คือทำข้าวโพดคั่วกินและดูโทรทัศน์

9) บิล เกตส์ คนที่รวยที่สุดในโลก
เพิ่งพบเขาเป็นครั้งแรกเมื่อห้าปีก่อน บิล
เกตส์คิดว่าตนเองไม่มีอะไรเหมือนวอร์เรน บัพเฟตต์เลย
จึงให้เวลานัดไว้เพียงครึ่งชั่วโมง แต่เมื่อบิล เกดส์ได้พบบัฟเฟตต์จริงๆ
ปรากฏว่าคุยกันนานถึงสิบชั่วโมง และบิล เกตส์กลายเป็นผู้มีศรัทธาในตัววอร์เรน
บัพเฟตต์

10) วอร์เรน บัพเฟตต์ ไม่ใช้มือถือ และไม่มีคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน

11) เขาแนะนำเยาวชนคนหนุ่มสาวว่า:
จงหลีกห่างจากบัตรเครดิตและลงทุนในตัวคุณเอง

ที่สุดของชีวิต คือ มีปัจจัย๔ อย่างเพียงพอนั่นเอง

มหาเศรษฐีหรือยาจก กินข้าวแล้วก็อิ่ม1มื้อ เท่ากัน
มหาเศรษฐีหรือยาจก มีเสื้อผ้ากี่ชุด ก็ใส่ได้ทีละชุด เท่ากัน
มหาเศรษฐีหรือยาจก มีบ้านหลังใหญ่แค่ไหน พื้นที่ที่ใช้จริงๆ ก็เหมือนกันคือ
ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว เหมือนกัน
มหาเศรษฐีหรือยาจก จะมียารักษาโรคดีแค่ไหน ยื้อชีวิตไปได้นานเพียงไร
สุดท้ายก็ต้องตาย เหมือนกัน

....มองทะลุวัตถุนิยม และเห็นความหมายที่แท้จริงของชีวิต

วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2554

มุมมองการใช้ชีวิต

“There are only two ways to live your life. One is as though nothing is a miracle. The other is as though everything is a miracle.”
Albert Einstein

มีแค่เพียง 2 ทางในการใช้ชีวิตของคนเรา ทางที่หนึ่งก็คือใช้ชีวิตเหมือนกับว่าไม่มีอะไรดีๆ ในโลกนี้เลย หรือจะเลือกใช้ชีวิตให้เหมือนกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเราก็คือสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นทุกวัน

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

ลองเลือกดูนะครับ ว่าเราอยากจะเลือกมอง หรือเลือกใช้ชีวิตของเราเองในแบบไหนดี

วิ่งหาความสุข

"ความสุขของเราไม่เคยอยู่ในปัจจุบัน มันอยู่ในเงื่อนไข อยู่ในความหวัง อยู่ในอนาคต ถ้าเราทำอย่างนั้น อย่างนี้แล้วเราจะมีความสุข

ลองคิดย้อน ดูตอนเด็กๆ เราคิดว่าเราเรียนหนังสือจบ ถ้ามีงานทำ เราจะมีความสุข สักพักถ้าเรามีแฟน เราจะมีความสุข ต่อมา ถ้าเรามีลูก เราจะมีความสุข ต่อมาก็มีต้องมีบ้าน มีรถ มีเงินเก็บพอสมควรเราจะมีค...วามสุข

พอแก่มากๆมีโรคประจำตัวรุมเร้าทุกข์ทรมาน ก็คิดว่า ถ้าเราตายไวๆแล้วเราคงจะมีความสุข

ความสุขไม่เคยอยู่ในปัจจุบันเลย มันมีแต่ข้อแม้ตลอดเวลา เราวิ่งหาความสุข จนเหน็ดเหนื่อยตลอดชีวิต

เราต้องรู้จักความสุขแบบที่ไม่ต้องอาศัยสิ่งอื่นหรือผู้อื่นบ้าง เช่นความสุขจากการไม่ทำชั่วต่อตนเองและผู้อื่น ความสุขที่ได้จากการพักผ่อนนอนหลับเต็มที่ ความสุขจาการใช้ชีวิตเหมาะสมกับฐานะและรายได้ ความสุขจากการทำทานรักษาศีล ความสุขจากการนั่งสมาธิทำใจให้สงบ เพื่อให้ใจได้พักผ่อนบ้าง

ที่สำคัญคือความสุขจากการมีสติในชีวิตประจำวัน การมีสติจะทำให้ชีวิตกลับมาสู่ปัจจุบัน ไม่ฝากความหวังไว้กับเงื่อนไขและความอยาก เมื่อมีสติตื่นขึ้นมา จิตใจก็จะเป็นกุศลจะมีความสุขเนื่องจากการไม่เผลอปล่อยใจให้ต้องเป็นทุกข์กับความคิดที่เกิดขึ้นมา การรับรู้ด้วยความรู้สึกที่เป็นกลาง จิตใจก็จะมีความสุขได้เองโดยไม่ต้องทำอะไรเลย

จิตโดยแท้จริงก็มีความสุขอยู่แล้วตามธรรมชาติ ยิ่งเมื่อมีปัญญาเห็นความจริงว่ากายและใจนี้เราควบคุมไม่ได้จริง เรามีสติรู้ที่กายและใจอยู่เสมอ สติจะตั้งมั่นกลายเป็นผู้รู้ผู้ดู อยู่เฉยๆ สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป โดยเราไม่เป็นทุกข์ด้วย นี่แหละคือปัญญา บางครั้งที่มีความอยากเกิดขึ้น ถ้าเรามีสติ เราก็จะเห็นความทุกข์เกิดขึ้นมาตั้งแต่เริ่มอยากทั้งร้อนทั้งแน่นในอก เราก็จะไม่พยายามสร้างความอยากเพราะเห็นทุกข์อย่างรวดเร็ว เป็นการคุ้มครองตัวจากตัณหา ราคะ ที่จะเข้ามาทางตา หู ทางความคิด

เมื่อมีปัญญาถอนความยึดมั่นในตัวเราเพราะเห็นว่ากายและใจนี่แหละเป็นความทุกข์ เราก็ไม่ต้องคอยแสวงหาความสุขให้กายและใจอีกต่อไป จิตใจก็มีความสุขเต็มขึ้นมาได้เอง นี่แหละเป็นความสุขที่เกิดในใจของผู้ที่รู้จักการเจริญสติในชีวิตประจำวัน เป็นความสุขที่เป็นเป้าหมายของศาสนาพุทธเลยทีเดียว"
ที่มา...พลังจิตดอทคอม

หากหัวใจคล้ายห้องว่าง

        คำว่าชีวิตประกอบขึ้นมาจาก "กาย" กับ "ใจ" เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "กาย" กับ "นาม" องค์ประกอบทั้งสองของชีวิตนี้ "ใจ" มีความสำคัญมากกว่า "กาย" เพราะ "ใจ" เป็นอย่างไร "กาย" จะเป็นอย่างนั้น
        ความสำคัญของใจที่มีผลเหนือกายนั้นมีตัวอย่างมากมาย อภิปรายกันไม่รู้จบ เช่นวันหนึ่งเมื่อมีนักข่าวสัมภาษณ์ว่า ไทเกอร์ วู้ด มีเคล็ดลับในการตีกอล์ฟอย่างไร จึงตีได้แม่นเหมือนจับวางทุกครั้ง เขาตอบสั้นๆ ว่า "ผมจินตนาการเห็นลูกกอล์ฟลอยละลิ่วลงหลุมก่อนที่ผมจะเริ่มตีมันเสียอีก" คำตอบของนักกอล์ฟอัจฉริยะสะท้อนว่าใจของเขานั้นไม่ได้สั่งได้เฉพาะกายคือมือของเขาเท่านั้น แม้แต่ไม้ตีกอล์ฟเอง ก็หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขา เข้าทำนอง กระบี่อยู่ที่ใจ ใจอยู่ในกระบี่ โดยแท้
ครั้งหนึ่งมีการทดลองกันในทางจิตวิทยาว่า ใจสำคัญต่อกายจริงหรือไม่ นักจิตวิทยาร่วมมือกับนายแพทย์ท่านหนึ่ง ไปตรวจร่างกายของนักกีฬายกน้ำหนักถึงโรงยิม เมื่อไปถึง นายแพทย์ก็ตรวจวัดร่างกายของนักกีฬายกน้ำหนักคนหนึ่ง ซึ่งมีร่างกายที่แข็งแรงมาก เขากำลังฝึกยกน้ำหนักอยู่พอดี เมื่อไปถึงนายแพทย์ใช้ปรอทวัดไข้อยู่สักพักหนึ่ง รอไม่กี่นาที ท่านก็รายงานด้วยสีหน้าเป็นกังวลว่า นักกีฬาคนนี้กำลังมีปัญหาใหญ่ เพราะตรวจพบ บางอย่าง ในร่างกาย ขอให้งดการฝึกซ้อมเอาไว้ก่อน พอนายแพทย์พูดจบ นักกีฬาร่างล่ำบึ้กมีสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที เขายกน้ำหนักต่อไปไม่ไหว ยกอย่างไรก็ไม่เป็นที่พอใจ อ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปหมด เขาจึงขออนุญาตลากลับไปพักหลายวัน
        ต่อมานายแพทย์และนักจิตวิทยา จึงขอโทษนักกีฬาคนนั้น พร้อมทั้งบอกความจริงว่า ผลการตรวจสุขภาพไม่เป็นอันตรายอย่างที่เป็นกังวลสักนิด ที่แจ้งผลไป ก่อนหน้านั้น เป็นเพียงการทดลองอย่างหนึ่งเท่านั้น ซึ่งทั้งครูฝึก นักจิตวิทยา และนายแพทย์ร่วมมือกันและรู้กันมาแต่ต้นอยู่แล้ว ทันทีที่ทราบผลว่า ตนไม่เป็นอะไร วันรุ่งขึ้นนักกีฬาคนนั้นก็มาฝึกซ้อมต่อและคราวนี้เขาสดชื่นรื่นเริงอย่างเห็นได้ชัด การทดลองคราวนี้ ก็สะท้อนหลักการที่ว่า ใจเป็นอย่างไร ร่างกายเป็นอย่างนั้น จริงๆ
        ความจริง ในชีวิตของคนเรานั้น หากสังเกตให้ดีเราจะพบว่า พฤติกรรมต่างๆ ที่แสดงผลออกมาทางกายนั้น ล้วนได้รับอิทธิพลของใจทั้งสิ้น คนที่มีสีหน้าสดชื่น ผ่องใส ใจเย็นโดยธรรมชาติ (ไม่ใช่ใสเพราะฝีมือหมอ) ก็เพราะลึกๆ แล้ว เขาไม่มีความเครียดเจือปนอยู่ในใจ คนที่หงุดหงิดงุ่นง่าน ก็เพราะในใจเขาเต็มไปด้วยความกังวล คนที่มีพฤติกรรมฉ้อฉล คอรัปชั่น ก็เพราะใจเขามี ไถยจิต ซึ่งแปลว่า จิตที่มีธาตุแห่งความเป็น หัวขโมย แฝงอยู่ คนที่สู้ชีวิต ก็เพราะใจเขาเปี่ยมด้วย ปรักกมธาตุ ซึ่งแปลว่า ใจนักสู้ อยู่ข้างใน ส่วนคนที่เต็มไปด้วยความอิจฉาตาร้อน ก็เพราะข้างในของเขา หมักหมมอยู่ด้วยไฟริษยานั่นเอง นอกเป็นอย่างไร ก็สะท้อนว่าใจเป็นอย่างนั้น กาย จึงเป็นเหมือนเงาสะท้อนของใจ

ใจ ของเรานั้น ไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า เมื่อเราใส่อะไรเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่านั้น สถานภาพของห้องก็จะเปลี่ยนไปทันที เป็นต้นว่า เรามีห้องว่างเปล่าอยู่ห้องหนึ่ง เมื่อ - -

เราใส่น้ำเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องน้ำ
เราใส่พระพุทธรูปเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องพระ
เราใส่เครื่องมือปรุงอาหารเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องครัว
เราใส่เครื่องนอนเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องนอน
เราใส่ชุดรับแขกเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องรับแขก
เราใส่บุคคลสำคัญเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องวีไอพี

ห้องแห่งหัวใจของเราก็ไม่ต่างอะไรกับห้องว่างเปล่าที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเลย ทุกครั้งที่เราบรรจุอะไรเข้าไปในใจ ใจของเราก็จะเปลี่ยนสถานภาพเหมือนกัน

เราใส่ความเมตตาเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจดี
เราใส่ธรรมะเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจบุญ
เราใส่ความโกรธเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจร้อน
เราใส่ความเลวเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจทราม
เราใส่ความกลัวเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจเสาะ
เราใส่ความเป็นนักสู้เข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจสู้
เราใส่ความขาดสติเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจลอย

เห็นด้วยกับผู้เขียนหรือไม่ว่า ใจของเรานั้นเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลเหนือกาย เป็นสิ่งที่คอยออกแบบชีวิตของเราให้เป็นไปอย่างไรก็ได้


พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า
ใจเป็นนาย ใจเป็นผู้นำ ใจเป็นผู้สร้างสรรค์...หรือบางทีก็ตรัสว่า จิตฺเตน นียติ โลโก แปลว่า โลกหมุนไปตามใจสั่งการ

โลก ในที่นี้ หมายถึง ชีวิตของเรา นั่นเอง
โลกคือชีวิต จะหมุนซ้าย หมุนขวา หมุนตรงหรือหมุนเอียง หมุนไปข้างหน้า หรือว่าหมุนไปข้างหลัง ทั้งหลายทั้งปวงนั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของใจทั้งหมดทั้งสิ้น

ขอบคุณเรื่องดี ๆ จาก http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=bravo-bestprices&month=07-2011&date=31&group=4&gblog=27

หลัก 3 ประการ ในการพูด..

ในสมัยกรีกโบราณ โซเครติส ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง
เมื่อชายคนหนึ่งปะหน้ากับปราชญ์ผู้นี้ จึงกล่าวกับเขาว่า

"ท่านรู้ไหมว่า ผมได้ยินเรื่องเพื่อนของท่านมาว่าอย่างไรบ้าง"

โซเครติสตอบว่า "เดี๋ยวนะครับ... ผมขอใช้หลักสามประการของผม
กรองสิ่งที่คุณจะบอกเสียก่อน"


"หลักสามประการ?"

"ถูกแล้วครับ .. หลักการแรกคือ 'ความจริง'
คุณมั่นใจหรือเปล่าว่าสิ่งที่คุณเล่ามันเป็นความจริง?"


"ไม่ครับ จริงๆแล้วผมฟังมาจากคนอื่นอีกที" เขาสารภาพ

"เอาล่ะ คุณเองก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า...
หลักการถัดไปของผมคือ 'ความดี'
...สิ่งที่คุณจะเล่าให้ฟังนี้เป็นเรื่องดีหรือเปล่า?"


"ไม่ครับ แต่ตรงกันข้าม.." เขาตอบ

โซเครติสกล่าวต่อไปว่า
"คุณจะเล่าเรื่องที่ไม่ดีของเขาให้ผมฟังใช่ไหม
ขณะเดียวกันคุณก็ไม่มั่นใจว่า นั่นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า...
ทีนี้เรามาถึงหลักการสุดท้าย 'ประโยชน์'
เรื่องที่คุณจะเล่าให้ผมฟังนี้ มันมีประโยชน์ต่อผมหรือเปล่า?"


"ไม่หรอกครับ" เขาปฎิเสธ

"เอาล่ะ ถ้าสิ่งที่คุณจะเล่าให้ผมฟังน่ะ
มันไม่จริง ไม่ดี และไม่มีประโยชน์อันใดต่อผมเลย
ทำไมคุณจึงจะเล่าให้ผมฟังล่ะ"

โซเครติสกล่าวตัดบท

จำให้ได้ว่าเราเป็นใคร

พระอาทิตย์ขึ้นใหม่ทุกวัน ทุกวันเป็นวันสำคัญที่สุดของชีวิตเรา
จัดเวลา เดินช้า ๆ ให้แสงอาทิตย์หรือแสงจันทร์สัมผัสตัว
รู้ให้ชัดแต่ละก้าว ทีละขณะ ทีละขณะ มีเวลาอยู่กับปัจจุบัน
เพราะแต่ละขณะเรามีนัดกับชีวิตตัวเอง
ทำหน้าที่อย่างจำได้ที่จะมีชีวิต
รู้ชัดอยู่ในปัจจุบัน อดีตเรียนรู้แล้วปล่อยไป
อนาคตวางแผนแล้วทำตรงหน้าให้เต็มที่
รู้ชัดว่าทำทุกอย่างเพื่อใคร เพื่ออะไร
ในบางคืนอาจมองไม่เห็นพระจันทร์เพราะเมฆมาก
แต่เรารู้ว่าพระจันทร์อยู่นั้นเสมอ
เหมือนในเวลาที่ชีวิตวุ่น แต่ความสว่างของสติปัญญา
ความสงบก็อยู่ในตัวเราเสมอ รอให้เราจัดเวลา
ในตัวเราเปิดเผยออกมา
รู้ลมหายใจ มีรอยยิ้มเล็ก ๆ ในใจ มีชีวิตที่รู้ชัดแต่ละขณะ ๆ
มีความสุข ความมั่นคงในใจทุกวัน
ให้ของขวัญที่มหัศจรรย์กับตัวเอง

ความท้าทายทั้งหลายนั้นเล็กนิดเดียว
ตัวเราเล็กนิดเดียวในจักรวาล
แต่มีคุณสมบัติที่มหัศจรรย์เช่นเดียวกับ
จักรวาลทั้งหมดที่เคลื่อนไป
ถ้าเมื่อไหร่ลืมว่าตัวเองถูกสร้างมาอย่างพิเศษขนาดไหน
ลองนึกถึงระบบที่ทำให้จักรวาลนี้หมุนไป
คุณสมบัติเดียวกับที่ทำให้ต้นไม้งอกงาม ข้าวออกรวง
ดวงดาวนับล้านหมุนไป ง่าย ๆ สบาย ๆ เพราะ
เรามีทุกอย่างพร้อมที่จะทำสิ่งที่เราต้องการทำ
ในเวลาที่เราพร้อมจะทำ
ความท้าทายตรงหน้ามาเพื่อให้เราม้วนตัว
ดึงสิ่งที่ดีที่สุดในตัวออกมาทำประโยชน์
ให้กว้างไกลกว่าเดิม
ชีวิตคนเรามีทั้งด้านที่ให้พลังและลดพลัง ทั้งสองด้าน
มีประโยชน์ให้เกิดการเรียนรู้ เก็บความเข้าใจไว้ในใจ
เพื่อที่เราจะไม่ต้องกลับมาเรียนบางเรื่องอีก
แล้วใช้สิ่งที่ดีเป็นความสุขให้เกิดพลังขับเคลื่อนชีวิตเรา
มีชีวิตอย่างมีวัตถุประสงค์
รู้ว่าเราเกิดมาเพื่อทำอะไร
จะทิ้งสิ่งดี ๆ อะไรไว้ในโลกนี้
คนแต่ละคนมีสิ่งที่ดีที่สุดอยู่ในตัวเอง
เกิดมาเพื่อพัฒนาสิ่งดี ๆ ในตัวเองนี้ ดึงมันออกมาใช้
ทำประโยชน์ให้โลก ทำประโยชน์ให้ตัวเอง
มีชีวิตอย่างมีคุณค่า มีความหมาย
แล้วโลกก็ตอบแทนเป็นความสุข ความรัก ความสำเร็จ
ความรู้สึกพึงพอใจในชีวิต ที่เรารู้สึกอยากตื่นขึ้นมา
แต่เช้าทุกวัน มีพลัง จดจ่อกับสิ่งที่กำลังทำ
ให้เวลากับสิ่งพิเศษในตัวเอง ให้หัวใจเรามีรอยยิ้ม
มีความสุขกับการสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ไว้ในโลกนี้
เพราะเราเองที่ได้รับประโยชน์ รับความสุขทันที
สร้างแต่ละวันให้เป็นวันที่ยอดเยี่ยม มีความสุข
มีพลัง อิ่มใจ สงบเย็นทุกวัน
ชีวิตเป็นของเรา เลือกชีวิตอย่างรู้ตัว
เลือกสิ่งที่ดีเป็นประโยชน์มาใช้
ให้เราเป็นเราที่ดีที่สุด ยิ่งกว่าที่เราเคยคิดว่า
เราสามารถเป็น ทำให้ตัวเองประหลาดใจกับสิ่งดี ๆ
ยิ่งใหญ่ที่เรามองให้โลกนี้

เป็นเราที่ดีที่สุดที่เราเป็น  จำให้ได้ว่าเราเป็นใคร
ขอบคุณหนังสือเย็น
ฐิตินาถ ณ พัทลุง.  เข็มทิศจิตใต้สำนึก.  กรุงเทพฯ: วงกลม, ๒๕๕๔.
http://www.gotoknow.org/blog/scented-book/451860