คำคม

ปัญหามีไว้ให้หาปัญญา อุปสรรคมีไว้ให้ฝึกหาทางออก วันไหนที่มีความสุข วันนั้นอย่าทำความสุขในชีวิตหล่นหาย

วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ผลักออก หรือดึงเข้า

          ปกติถ้าท่านจะเดินเข้าห้างสรรพสินค้า ข้างหน้าท่านมีประตูกระจกที่เป็นทางเข้าขวางอยู่ ปกติท่านจะผลัก หรือดึงประตูนั้นครับ??

โดยปกติคนเรามักจะผลักประตูออกมากว่าดึงเข้าหาตัว น้อยคนนักที่จะดึงประตูเพื่อเปิด เปรียบเทียบเหมือนกับคนเราที่เวลาเจอปัญหาต่างๆก็มักจะผลักออกจากตัว ไม่ค่อยมีใครที่จะมองกลับมาที่ตนเองซักเท่าไรสมมุติว่าท่านกำลังขับรถอย่างรวดเร็ว และจี้ติดรถคันหน้า
พอรถคันหน้าเบรก ท่านเบรกไม่ทันชนท้ายรถคันหน้าเข้า สิ่งที่ท่านคิดอยู่ขณะนี้คือ ใครผิด คนส่วนใหญ่ก็จะโทษไปที่รถคันหน้าว่า “ขับรถยังไง ไม่เบรกให้ดีๆ หน่อย” รถคันหน้าก็จะหันมาโทษรถคันหลังว่า “ขับรถยังไง มาชนท้ายคนอื่น” จะมีใครมองบ้างหรือเปล่าว่า นี่เป็นความผิดของเราเอง ถ้าเราขับดีกว่านี้ ก็คงจะไม่เกิดอุบัติเหตุขึ้น หรือในกรณีของการบริหารงานในองค์กร
พนักงานที่เราดูแลอยู่นั้น ทำงานไม่ดีนัก ผลงานไม่ค่อยออก ในฐานะที่ท่านเป็นหัวหน้าของเขา ท่านจะโทษใคร ผมเชื่อเลยว่า ส่วนใหญ่จะกล่าวโทษไปที่พนักงานว่า พนักงานสมองไม่ดีบ้าง เรียนรู้ช้าบ้าง หรือไม่ตั้งใจบ้าง แต่ถามหน่อยว่าแล้วท่านในฐานะหัวหน้านั้น ท่านมองกลับมาที่ตัวท่านเองบ้างหรือเปล่าว่า ที่ลูกน้องทำผลงานได้ไม่ดีนั้น

เกิดจากตัวท่านด้วยที่ไม่สอนงาน ควบคุมงาน และไม่ให้คำแนะนำที่ดีแก่เขา
ปกติคนเรามักจะกล่าวโทษคนอื่นไว้ก่อน และมองตัวเองดีเสมอ ไม่ค่อยมีใครเห็นตัวเองว่าไม่ดี

ดังนั้นไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ไม่ดีอะไรเกิดขึ้นกับเรา เราจะไม่ค่อยโทษตัวเราเองสักเท่าไร

สิ่งที่เราจะหาสาเหตุก็คือ มองออกไปที่คนอื่น หรือไม่ก็มองออกไปข้างนอกตัว มากกว่ามองเข้าหาข้างในตัวเราเองผมได้อ่านนิทานเรื่องหนึ่งซึ่งเมื่ออ่านจบแล้วผมเกิดความรู้สึกวูบๆ ในใจ ลองอ่านดูนะครับ ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร
            กาลครั้งหนึ่งมีหญิงสาวคนงานตาบอดคนหนึ่งเลิกงานตอนดึกมากแล้วจะกลับบ้าน เจ้านายก็เลยนำเอาไฟนำทางมาให้เพื่อให้เธอส่องทาง
แต่หญิงสาวกลับพูดว่า “ดิฉันตาบอดจะเอาโคมไฟไปทำอะไร”
เจ้านายก็ตอบว่า “ที่ให้ถือโคมไฟ ก็เพื่อให้คนอื่นที่เดินผ่านไปมามองเห็นตัวเธอไง จะได้ไม่เดินมาชนไงล่ะ”
พนักงานสาวตาบอดฟังแล้วรู้สึกว่ามีเหตุผล จึงรับโคมไฟมาถือ จากนั้นก็เดินคลำทางไปเรื่อยๆ เพื่อกลับบ้าน
พอเดินถึงครึ่งทาง เธอก็ได้เดินชนกับคนคนหนึ่งเข้าอย่างจัง
“นี่ ไม่มีตาหรือไง ไม่เห็นโคมไฟที่ฉันถือมาหรือไง สงสัยตาจะบอดนะ” หญิงสาวต่อว่าด้วยความโกรธ
“เธอน่ะสิที่ตาบอด โคมไฟไม่เห็นจะมีไฟเลย” ชายคนนั้นตอกกลับอย่างโกรธๆ เช่นกัน

         อ่านจบแล้วรู้สึกอย่างไรบ้างครับ ปกติคนเรามักจะรู้เรื่องของตนเองแบบไม่ค่อยจริงจังซักเท่าไร แต่ชอบทำตนเป็นผู้รู้ดีในเรื่องของคนอื่น ชอบที่จะว่ากล่าวตักเตือนคนอื่นๆ ไปทั่ว แต่ลืมที่จะมองกลับมาที่ตัวเองว่า จริงๆ แล้วเราเองรู้จริงๆ หรือไม่จริงกันแน่ ยิ่งไปกว่านั้นยังชอบที่จะมองว่าคนอื่นนั้นโง่กว่าตนอีกด้วยครับ

ขอขอบคุณ https://prakal.wordpress.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น