คำคม

ปัญหามีไว้ให้หาปัญญา อุปสรรคมีไว้ให้ฝึกหาทางออก วันไหนที่มีความสุข วันนั้นอย่าทำความสุขในชีวิตหล่นหาย

วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

มีชีวิตอยู่ด้วยความซื่อสัตย์และทำด้วยความตั้งใจจริง

คุณโยชิโนริ โนงุจิ ได้เล่าให้ฟังในตอนต้น ๆ ของหนังสือว่า ...

คุณทสึรึทาโร คาทาโอกะ เป็นนักแสดงและยังเป็นจิตรกรชื่อดัง เมื่อครั้งที่ผมมีโอกาสได้กินข้าวกับเขา จึงได้ทราบว่าคุณทสึรึทาโรเพิ่งเริ่มชื่นชอบการวาดภาพเมื่ออายุย่าง 40 ปีแล้วก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยสัมผัสกับการวาดภาพเลย และไม่เคยแม้แต่จะไปหอศิลป์ จนกระทั่งช่วงแรกที่เขาเริ่มรู้จักการวาดภาพ และได้พบกับอาจารย์ยูทากะ มูราคามิ จิตรกรชื่อดัง อาจารย์ยูทากะบอกกับเขาว่า
"เราไม่ต้องวาดภาพให้งดงาม วาดแบบไม่ช่ำชองก็ได้ แต่ขอให้วาดภาพตามความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา"
 คุณทสึรึทาโรเล่าว่า ในเวลานั้นคำพูดนี้เป็นกำลังใจสำคัญให้เขาซึ่งกำลังไม่มีความมั่นใจในความสามารถของตัวเองเป็นอย่างมาก
เมื่อเราทำสิ่งใด เรามักจะพยายามทำให้ดีที่สุด ทำอย่างฉลาดและสง่างาม แต่เราก็ยังย่ำเท้าอยู่กับที่ จนกระทั่งเมื่อเราคิดว่า "ไม่ต้องทำให้ดีก็ได้ แค่ทำตามสิ่งที่เรารู้สึกเท่านั้นก็พอ" กลับจะทำให้เรามีกำลังใจขึ้นไป
 ผมขอเล่าเพิ่มเติมว่า ปกติแล้วคุณทสึรึทาโรเป็นคนถนัดขวา ใช้มือขวาจับตะเกียบและปากกา แต่ขณะที่วาดภาพเท่านั้นที่จะใช้มือซ้ายจับพู่กัน เหตุผลก็เพราะว่า ถ้าใช้มือขวา เขาจะพยายามวาดให้สวยจนทำให้มือที่จับพู่กันนั้นคล่องแคล่วเกินความจำเป็น
ทว่าการใช้มือซ้ายกลับทำให้เขาค่อย ๆ วาดภาพที่เห็นด้วยความตั้งใจอย่างเต็มที่ และเพราะคุณทสึรึทาโรตั้งใจวาดภาพด้วยความซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกตนเองนี่เอง จึงทำให้ผู้ชมรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและพลังที่มีอยู่ในภาพและผลงานของเขา
(รู้สึกเหมือนการเขียนบันทึกสักบันทึกหนึ่งไหมครับ อย่างที่ผมเคยเขียนเป็นบทกวีไว้ว่า การเขียนไม่จำเป็นต้องมีไวยากรณ์ก็เขียนได้)
 สังคมในทุกวันนี้ ผู้คนมักให้ความสำคัญกับผลที่เกิดขึ้นซึ่งมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สิ่งที่คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจมากที่สุดก็คือ "ทำอย่างไรจึงจะทำให้ผลลัพธ์อย่างมีประสิทธิภาพและชาญฉลาด"  แน่นอนว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าการทำให้เกิดผลลัพธ์อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งการเรียนรู้กลยุทธ์ วิธีการ และทักษะก็ย่อมเป็นสิ่งที่มีคุณค่า
อย่างไรก็ตาม เราควรคำนึงว่า การให้ความสำคัญต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นและประสิทธิภาพมากจนเกินไปจะทำให้เรามองข้าม "ความเป็นตัวเอง" ตัวอย่างเช่น หากเรามุ่งเน้นไปที่การใช้กลยุทธ์ วิธีการ และทักษะเพียงอย่างเดียว ย่อมลืมนึกถึงความซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกตนเอง พูดได้ว่าเรากำลังพลาดโอกาสสำคัญที่จะเติบโตขึ้นในฐานะที่เป็นคนคนหนึ่ง
(นับวันที่เราเติบโตขึ้น เราก็มักจะคิดแต่ผลที่เกิดขึ้นมากกว่าประสบการณ์ระหว่างทาง)
 ในหนังสือ "วัฏจักรของจิตใจ" เขียนโดย ชินอิจิ นาคาซาวะ สำนักพิมพ์โคดังฉะ ชินโช กล่าวไว้ว่า
"คนฉลาดมักแสวงหาความสบาย ทำให้จมอยู่กับความเกียจคร้านในที่สุด การเป็นคนฉลาด หมายความว่า การทำตัวให้เหนือกว่าคนรอบข้างเล็กน้อย อาจยืนล้ำหน้ากว่าผู้อื่นสัก 2 - 3 ก้าว แล้วใช้ความฉลาดเป็นต้นทุนในการสร้างความสมบูรณ์พูนสุขให้ตนเอง"
 "การเป็นคนฉลาด" ที่คุณชินอิจิ กล่าวถึง อาจตีความได้ว่า "การมีชีวิตอยู่ด้วยการพึ่งพาความรู้และภูมิปัญญา"
การที่คนเราพึ่งพาความรู้และภูมิปัญญาจะทำให้เกิดความเห็นแก่ตัวและคิดแต่เพียงว่า "ทำอย่างไรจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างเฉลียวฉลาดและสบาย" แล้วในที่สุดชีวิตก็จะดำเนินไปเพื่อค้นหาแต่ความสบาย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วชีวิตของเราก็จะยิ่งห่างไกลจาก "การเติบโตในฐานะที่เป็นคนคนหนึ่ง" และ "ความมุ่งมั่นอย่างเด็ดเดี่ยว"
(ผมอยู่ในสังคมมหาวิทยาลัย ซึ่งมีแต่ Professional ทั้งนั้นเลย ดังนั้นหลายคนที่ผมเห็น เขาเป็นแบบนี้เลย)
 ในวรรณคดีจีนเล่มหนึ่ง ชื่อ หานเฟยจื่อ มีคำกล่าวว่า "เล่ห์กลไม่เสมอเหมือนความสัตย์" ซึ่งหมายถึง "หากมองในช่วงเวลาอันสั้น เล่ห์กล (วิธีการที่ใช้ความสามารถพิเศษและแผนการต่าง ๆ) อาจเป็นวิธีที่ให้ผลรวดเร็ว แต่ถ้าหากมองในระยะยาว ความสัตย์ (วิธีการที่ใช้ความซื่อสัตย์ ความตรงไปตรงมา แม้จะดูไม่เชี่ยวชาญ) ต่างหากที่จะมีชัยในที่สุด"
 นอกจากนี้ ในคัมภีร์ไช่เกินถาน ยังมีคำกล่าวว่า "เขียนด้วยความไม่ชำนาญ ฝึกฝนด้วยความไม่ชำนาญ คำว่าความไม่ชำนาญหนึ่งคำนี้มีความหมายมากมายนับไม่ถ้วน" ซึ่งหมายความว่า "วิธีการเขียนหนังสือนั้น ใช่ว่าต้องพยายามเขียนให้ดีด้วยเทคนิค แค่เขียนอย่างคนไม่ชำนาญ (อย่างไม่เชี่ยวชาญและไม่เติมแต่ง) ก็เพียงพอแล้ว เช่นเดียวกับการปฏิบัติธรรม คนที่ไม่ชำนาญมักจะฝึกฝนได้ผลดีมากกว่า ดังนั้น คำว่า "ไม่ชำนาญ" หนึ่งคำนี้จึงมีความหมายอันลึกซึ้งมากมายนับไม่ถ้วน"
(กระบวนการคิดของคัมภีร์ไช่เกินถานประเด็นนี้ อาจจะเปลี่ยนมุมมองของใครหลายคนได้)
 ไคชู คัตสึ วีรบุรุษของญี่ปุ่นกล่าวไว้ว่า
"คนที่จะทำการใหญ่ได้สำเร็จต้องเป็นคนซื่อตรง หากใช้ความรู้ความสามารถอย่างเดียวย่อมไม่ประสบความสำเร็จ"
 และซงโทคุ นิโนะมิยะ ก็กล่าวไว้เช่นกันว่า
"ไม่ควรเคารพคนที่ความรู้และวาจา หากแต่ความซื่อสัตย์สุจริตต่างหากที่เราควรเคารพยกย่อง"
(คนมีความรู้และพูดดี แต่ไม่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่ควรนับถือใด ๆ เลย คุณเคยเจอคนแบบนี้หรือยังครับ ผมเจอแล้วนะ)
 เรียวคัง พระสงฆ์ลัทธิเซนได้ตั้งชื่อตัวเองว่า "เรียวคัง ผู้โง่เขลา" หรือเรียกตัวเองว่าเป็น "คนโง่เง่าเต่าตุ่น" ท่านได้ปล่อยวางจากการยึดติดในการมีชีวิตอยู่บนความเห็นแก่ตัว ความโลภ แต่ตั้งมั่นอยู่บนความซื่อตรงตลอดชีวิตของท่านเอง

หากเราปฏิบัติตามวิธีการดำเนินชีวิตตามที่วรรณคดีและวีรบุรุษในอดีตสอนไว้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้รับผลลัพธ์ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และอาจมองเห็นความวิเศษของคำสอนเหล่านั้นได้ยากในระยะเวลาอันสั้น
ทว่าหากมองในระยะยาวแล้ว คำสอนเหล่านั้นเปรียบเสมือนป้ายบอกทางที่ช่วยชี้แนะให้เรามีชีวิตที่มีคุณค่าได้อย่างแท้จริง
ถึงเวลานี้ คุณคงพร้อมที่จะตั้งใจและทุ่มเททำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยความซื่อสัตย์และจริงใจอย่างที่สุดกันนะครับ
ขอบคุณบทความจาก http://www.gotoknow.org/blog/scented-book/453301

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น