คำคม

ปัญหามีไว้ให้หาปัญญา อุปสรรคมีไว้ให้ฝึกหาทางออก วันไหนที่มีความสุข วันนั้นอย่าทำความสุขในชีวิตหล่นหาย

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

คิดอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น

จิตของเรานี้มีพลัง คิดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ใจเป็นประธาน ใจเป็นหัวหน้า แต่พวกเรามักไม่ค่อยให้ความสำคัญกับจิตใจของตัวเองเท่าที่ควร ทั้ง ๆ ที่เราทุกคนอยากจะมีีความสุข แต่จิตใจของตนกลับปล่อยให้คิดฟุ้งซ่านไปตามกิเลสตัณหา ซึ่งเป็นการสร้างทุกข์เพิ่มขึ้น ๆ เช่น อยากจะรวย อยากจะมีแฟน อยากจะได้ยศ ตำแหน่ง

ความอยากจะมี แสดงถึง ความไม่ีมี
ความอยากจะรวย แสดงว่า จน


เท่ากับเราไม่มีความพอใจในชีวิตความเป็นอยู่ของตัวเอง ความคิดอยาก ๆ เป็นกิเลสตัณหาซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
ในทางตรงกันข้าม หากจิตใจเรามีความสันโดษ มีความพอใจในสิ่งที่เรามี เราก็จะมีความสุขได้ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม คำสอนให้รู้จักสันโดษนี้ ไม่ได้สอนให้คนเกียจคร้านในการทำหน้าที่การงาน ทำให้ชีวิตไม่เจริญก้าวหน้า พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องสันโดษเพื่อให้เรารู้จักพอใจกับสิ่งที่ตนมีอยู่ สิ่งที่ตนได้มา แต่ในการดำเนินชีวิตพระพุทธเจ้าทรงสอนให้เรามีอิทธิบาท ๔ ซึ่งหมายถึง ทางแห่งความสำเร็จในกิจอันเป็นกุศล มี ๔ ประการคือ

๑. ฉันทะ มีความพอใจในสิ่งที่ทำ
๒. วิริยะ ความเพียรพยายามตั้งใจทำสิ่งนั้น
๓. จิตตะ ความเอาใจใส่ จิตใจจดจ่อกับสิ่งที่ทำอยู่
๔. วิมังสา ใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญ หาเหตุผล เพื่อแก้ปัญหา หรือพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น

ดังนั้น เมื่ออยากจะประสบความสำเร็จในสิ่งใด ก็ให้ตั้งเป้าหมายไว้ตามสมควรแก่ฐานะ ให้จิตใจตั้งมั่นไว้ที่ผลสำเร็จ และปฏิบัติตามหลักอิทธิบาท ๔ แต่ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร เราก็มีความสุขอยู่ได้ในปัจจุบัน

เมื่อมีจิตใจดี มีความสบายใจแล้ว
โอกาสที่ชีวิตจะประสบความสำเร็จ
ในสิ่งที่ปรารถนาก็มีมากขึ้น

แม้จะรับประกันไม่ได้ เพราะตามธรรมชาติของวัฏสงสารก็ไม่แน่นอน ไม่มีใครรอดพ้นไปจากความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ได้ แต่ในแ่ง่จิตใจเราก็ไม่ต้องทุกข์ร้อนอะไร หากไม่ได้ในสิ่งที่ปรารถนา ก็ให้เข้าใจว่า

เมื่อเราตั้งใจทำดีที่สุดด้วยใจที่สงบ
เราได้ทำเหตุที่ดีแล้ว
ก็ต้องยอมรับผลด้วยใจที่สงบเหมือนกัน

เรื่องสุขภาพร่างกายของเราก็เหมือนกัน ถึงแม้เราสุขภาพไม่ดี กำลังป่วยอยู่ก็ตาม แต่ถ้าเราคิดกังวลอยู่ตลอดเวลา เราไม่สบาย ๆ เมื่อจิตใจคิดวนเวียนอยู่อย่างนี้ ความคิดในแง่ลบของเราก็มีอิทธิพลทำให้สุขภาพกายแย่ลง

ในทางตรงกันข้าม ให้เราคิดในแง่บวก เช่น สมมติว่าเป็นโรคหัวใจ ก็ให้กำหนดจิตเพ่งไปที่หัวใจ หายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ หายใจสบาย ๆ ส่งกระแสความรู้สึกที่ดี แผ่เมตตาไปที่ "หัวใจ" จินตนาการ ในทางบวกว่า หายแล้ว ทำอย่างนี้บ่อย ๆ ทุก ๆ วัน ในส่วนของการรักษาทางกาย ก็กินยา ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ตามปกติ ปฏิบัติตามนี้แล้วสุขภาพจิตก็จะดีขึ้น มีกำลังใจ โอกาสที่สุขภาพกายจะดีขึ้นก็มีมาก
ขอขอบคุณ http://www.gotoknow.org/posts/532353

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น