ทำไมบางคนถึงทุกข์ร้อน วิตกกังวล กระวนกระวาย ไม่สบายใจ ไม่ปลอดโปร่งอยู่เสมอ
คำตอบง่ายมากเพราะเขาแบกความคิดและความรู้สึกหลายอย่างเอาไว้ ไม่ปลดปล่อย ไม่ปรับเปลี่ยนจนกระทั่งมันกลายเป็นขยะหรือคราบสกปรกเกาะติดหัวใจเวลามีอะไรมากระทบหรือสัมผัสกับความรู้สึก ก็จะมีคราบเปื้อนเหล่านี้เข้าไปเจือปนความสดใสที่ควรจะมี จึงมีได้ไม่เต็มที่
ทำไมเราจึงปล่อยให้ใจเป็น "ถังขยะ" ล่ะ
คำตอบก็คือเราไม่ค่อยรู้ตัวหรอก ว่าเราแอบทิ้งขยะลงไปในใจของเราเองหรือมีใครทิ้งขยะลงมาในหัวใจของเราบ้างถ้าเราไม่หมั่นสำรวจบางทีเราอาจมีขยะรกเรื้อหัวใจอยู่มากมายเลยก็ได้ อะไรบ้าง ที่เป็นขยะหัวใจ
1. ความไม่พอใจ
มีหลายเรื่องเลยนะ ในชีวิต ที่เราไม่พึงพอใจถ้าจะแบ่งให้กว้างที่สุดเพื่อให้เห็นภาพสิ่งที่ทำให้เราไม่พอใจมีอยู่ 2 ส่วนใหญ่ๆคือ ไม่พอใจคนอื่น กับไม่พอใจตัวเองไม่พอใจคนอื่นเกิดได้มากกว่าความไม่พอใจในตัวเองเพราะธรรมชาติของคนย่อมรักตัวเองมากกว่าคนอื่น ย่อมโทษคนอื่นก่อนโทษตัวเองย่อมเห็นความผิดของคนอื่นได้ก่อนและได้ชัดกว่าความผิดของตนเอง
ขณะเดียวกันเราต่างก็รู้ว่าโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบมีเกิน มีขาดจนกว่าจะค่อยๆ ปรับปรุงพัฒนาให้มีความพอดีได้ จึงจะเข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบมากที่สุดฉะนั้น เราควรมองด้านดีของกันและกันให้มากกว่าด้านที่บกพร่อง
ถ้าเราเริ่มจากมองด้านดีของกันและกันแล้วความพึงพอใจ และความนับถือในกันและกันก็จะเกิดซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สร้างสรรค์กว่าการจับผิดกัน แล้วนำไปสู่ความไม่พอใจ
คำตอบง่ายมากเพราะเขาแบกความคิดและความรู้สึกหลายอย่างเอาไว้ ไม่ปลดปล่อย ไม่ปรับเปลี่ยนจนกระทั่งมันกลายเป็นขยะหรือคราบสกปรกเกาะติดหัวใจเวลามีอะไรมากระทบหรือสัมผัสกับความรู้สึก ก็จะมีคราบเปื้อนเหล่านี้เข้าไปเจือปนความสดใสที่ควรจะมี จึงมีได้ไม่เต็มที่
ทำไมเราจึงปล่อยให้ใจเป็น "ถังขยะ" ล่ะ
คำตอบก็คือเราไม่ค่อยรู้ตัวหรอก ว่าเราแอบทิ้งขยะลงไปในใจของเราเองหรือมีใครทิ้งขยะลงมาในหัวใจของเราบ้างถ้าเราไม่หมั่นสำรวจบางทีเราอาจมีขยะรกเรื้อหัวใจอยู่มากมายเลยก็ได้ อะไรบ้าง ที่เป็นขยะหัวใจ
1. ความไม่พอใจ
มีหลายเรื่องเลยนะ ในชีวิต ที่เราไม่พึงพอใจถ้าจะแบ่งให้กว้างที่สุดเพื่อให้เห็นภาพสิ่งที่ทำให้เราไม่พอใจมีอยู่ 2 ส่วนใหญ่ๆคือ ไม่พอใจคนอื่น กับไม่พอใจตัวเองไม่พอใจคนอื่นเกิดได้มากกว่าความไม่พอใจในตัวเองเพราะธรรมชาติของคนย่อมรักตัวเองมากกว่าคนอื่น ย่อมโทษคนอื่นก่อนโทษตัวเองย่อมเห็นความผิดของคนอื่นได้ก่อนและได้ชัดกว่าความผิดของตนเอง
ขณะเดียวกันเราต่างก็รู้ว่าโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบมีเกิน มีขาดจนกว่าจะค่อยๆ ปรับปรุงพัฒนาให้มีความพอดีได้ จึงจะเข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบมากที่สุดฉะนั้น เราควรมองด้านดีของกันและกันให้มากกว่าด้านที่บกพร่อง
ถ้าเราเริ่มจากมองด้านดีของกันและกันแล้วความพึงพอใจ และความนับถือในกันและกันก็จะเกิดซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สร้างสรรค์กว่าการจับผิดกัน แล้วนำไปสู่ความไม่พอใจ
2. ความผิดหวัง
2 สิ่งที่ไม่ควรตั้งความหวังไว้สูงนักคือ หวังว่าเรื่องบางเรื่อง เหตุการณ์บางเหตุการณ์ หรือคนบางคนในอดีตจะย้อนกลับมากับหวังว่าอนาคตจะเป็นไปตามที่เราวาดหวังเสียทุกประการอดีตเป็นสิ่งที่ยากจะเรียกหาให้ย้อนกลับคืนมาเป็นเหมือนเดิมดีที่สุดคือใช้อดีตเป็นบทเรียน ให้สติให้เราเรียนรู้ทั้งโอกาสและความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น เพื่อให้วันนี้และวันข้างหน้าดีกว่าอดีตที่เคยเป็น
ส่วนอนาคตย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยไม่สามารถบังคับบงการให้เป็นไปตามความหวังของเราได้เสียทั้งหมดแต่พอจะคาดการณ์ได้ว่าน่าจะเป็นอย่างไรกระนั้นก็ตาม หากไม่เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ก็อย่าได้ทุกข์ร้อนเสียใจและปล่อยความคาดหวังบนความไม่แน่นอนแบบนี้ให้เป็นขยะรกอารมณ์
3. ความอิจฉาริษยา
ขยะอย่างหนึ่งที่รกใจคนที่สุดก็คือความอิจฉาริษยาคนอื่นโดยไม่ทันเฉลียวว่า ทุกครั้งที่เราอิจฉาริษยาใครก็ตามความนับถือตัวเองของเราก็เสื่อมถอยลงไปด้วยเพราะการจะรู้สึกอิจฉาหรือริษยาใครนั้นย่อมมีพื้นฐานมาจากความรู้สึกว่าเขาดีหรือได้ดีกว่าเรา เราจึงอิจฉาเขาเป็นพัลวัน
จงหยุดอิจฉา แล้วมองให้เห็นว่าการที่คนอื่นได้ดีหรือมีดีกว่าเรานั้น เป็นสิ่งที่น่ายินดีควรยินดีกับเขาและปรับเปลี่ยนโน้มน้าวตัวเองให้ทวีความดีดั่งที่เขามีจนเราอิจฉา
4. ความยึดมั่นถือมั่น
ขยะที่เพิ่มพูนความรกเรื้อรุงรังให้ใจได้เป็นอย่างดีอีกประการหนึ่งคือความยึดมั่นถือมั่นคิดว่านั่นก็คนของฉัน นี่ก็บ้านของฉัน รถของฉัน คนรักของฉันตำแหน่งของฉัน ฯลฯจนไม่สามารถปล่อยวาง ‘สิ่งนอกตัว’ เหล่านั้นลงได้
ส่วนใหญ่พบว่า จิตจะปรุงแต่งไปเองว่าสิ่งนี้ฉันรัก สิ่งนี้ฉันเป็นเจ้าของ ใครก็เอาไปจากฉันไม่ได้พอไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ ก็ผูกพันหน่วงเหนี่ยว ยังคงเสียดาย เสียใจและปรุงแต่งจิตเพิ่มเข้าไปว่าฉันนี้แสนทุกข์ระทม
ลองยอมรับความจริงดูบ้างไหม ว่าอะไรๆในโลกนี่ก็ไม่ใช่ของเราอย่างถาวรทั้งสิ้นแม้กระทั่งร่างกายของเรานี้แท้ก็เป็นแค่ของยืมมา ใช้ได้ชาตินี้ชาติเดียว เดี๋ยวก็เสื่อม ก็แก่ ก็ป่วย ก็ตายต้องคืนร่างกายสังขารนี้สู่สภาพดิน น้ำ ลม ไฟ เน่าเปื่อยผุพังไปสิ้นความสวยความหล่อ ตลอดจนลาภยศสรรเสริญทั้งปวง
2 สิ่งที่ไม่ควรตั้งความหวังไว้สูงนักคือ หวังว่าเรื่องบางเรื่อง เหตุการณ์บางเหตุการณ์ หรือคนบางคนในอดีตจะย้อนกลับมากับหวังว่าอนาคตจะเป็นไปตามที่เราวาดหวังเสียทุกประการอดีตเป็นสิ่งที่ยากจะเรียกหาให้ย้อนกลับคืนมาเป็นเหมือนเดิมดีที่สุดคือใช้อดีตเป็นบทเรียน ให้สติให้เราเรียนรู้ทั้งโอกาสและความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น เพื่อให้วันนี้และวันข้างหน้าดีกว่าอดีตที่เคยเป็น
ส่วนอนาคตย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยไม่สามารถบังคับบงการให้เป็นไปตามความหวังของเราได้เสียทั้งหมดแต่พอจะคาดการณ์ได้ว่าน่าจะเป็นอย่างไรกระนั้นก็ตาม หากไม่เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ก็อย่าได้ทุกข์ร้อนเสียใจและปล่อยความคาดหวังบนความไม่แน่นอนแบบนี้ให้เป็นขยะรกอารมณ์
3. ความอิจฉาริษยา
ขยะอย่างหนึ่งที่รกใจคนที่สุดก็คือความอิจฉาริษยาคนอื่นโดยไม่ทันเฉลียวว่า ทุกครั้งที่เราอิจฉาริษยาใครก็ตามความนับถือตัวเองของเราก็เสื่อมถอยลงไปด้วยเพราะการจะรู้สึกอิจฉาหรือริษยาใครนั้นย่อมมีพื้นฐานมาจากความรู้สึกว่าเขาดีหรือได้ดีกว่าเรา เราจึงอิจฉาเขาเป็นพัลวัน
จงหยุดอิจฉา แล้วมองให้เห็นว่าการที่คนอื่นได้ดีหรือมีดีกว่าเรานั้น เป็นสิ่งที่น่ายินดีควรยินดีกับเขาและปรับเปลี่ยนโน้มน้าวตัวเองให้ทวีความดีดั่งที่เขามีจนเราอิจฉา
4. ความยึดมั่นถือมั่น
ขยะที่เพิ่มพูนความรกเรื้อรุงรังให้ใจได้เป็นอย่างดีอีกประการหนึ่งคือความยึดมั่นถือมั่นคิดว่านั่นก็คนของฉัน นี่ก็บ้านของฉัน รถของฉัน คนรักของฉันตำแหน่งของฉัน ฯลฯจนไม่สามารถปล่อยวาง ‘สิ่งนอกตัว’ เหล่านั้นลงได้
ส่วนใหญ่พบว่า จิตจะปรุงแต่งไปเองว่าสิ่งนี้ฉันรัก สิ่งนี้ฉันเป็นเจ้าของ ใครก็เอาไปจากฉันไม่ได้พอไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ ก็ผูกพันหน่วงเหนี่ยว ยังคงเสียดาย เสียใจและปรุงแต่งจิตเพิ่มเข้าไปว่าฉันนี้แสนทุกข์ระทม
ลองยอมรับความจริงดูบ้างไหม ว่าอะไรๆในโลกนี่ก็ไม่ใช่ของเราอย่างถาวรทั้งสิ้นแม้กระทั่งร่างกายของเรานี้แท้ก็เป็นแค่ของยืมมา ใช้ได้ชาตินี้ชาติเดียว เดี๋ยวก็เสื่อม ก็แก่ ก็ป่วย ก็ตายต้องคืนร่างกายสังขารนี้สู่สภาพดิน น้ำ ลม ไฟ เน่าเปื่อยผุพังไปสิ้นความสวยความหล่อ ตลอดจนลาภยศสรรเสริญทั้งปวง
5. ความกลัว
ใจหลายคน รุงรังไปด้วยความกลัวกลัวเขาจะไม่รักกลัวเงินจะหมด กลัวฝนจะตก กลัวนายจ้างจะเลิกจ้าง กลัวเพื่อนร่วมงานจะได้ดีกว่ากลัวไม่ก้าวหน้า ไม่ได้โบนัส ฯลฯ
กลัวไปทำไมเรื่องบางเรื่องเราตัดสินเองไม่ได้ อยู่นอกเหนือจากการควบคุม ซึ่งกลัวไปก็เท่านั้นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นสักนิดบางเรื่องแทบไม่มีวันมาถึงในชีวิต ก็กลัวล่วงหน้ากลัวจนประสาทเสีย
จงพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกคนและทุกสิ่งในชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีซึ่งต้องเริ่มจากการทำแต่สิ่งที่ดี โปร่งใส ไม่เป็นแผลติดตัวที่ต้องปิดบังซ่อนเร้นและจงขจัดความกลัวออกไปจากใจเพื่อให้เกิดความมั่นใจที่จะใช้ชีวิตของเราให้สมศักดิ์ศรีเพื่อที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อทำให้ชีวิตนี้ดีกว่าเดิม
6. ความอยาก
จง "อยาก" ให้พอดีกับกำลังกาย กำลังทุนและกำลังสติปัญญาของตัวเองอย่าอยากจนเกินกำลัง เพราะจะทำให้สิ้นกำลังได้ง่ายแล้วกลายเป็นคนพ่ายแพ้ อ่อนแอ หมดสิ้นความทะเยอทะยานอยากในชีวิต
ความทะเยอทะยานอยากเหมือนรถ แต่ใจเราคือคนขับรถแล่นด้วยความเร็วกำลังดี เราก็ได้ประโยชน์ จอดอยู่เฉยๆ ก็นิ่งอยู่กับที่แต่หากแล่นฉิวจนเกินควบคุม ก็อันตรายกับชีวิตฉะนั้นใจต้องเป็นนายของความทะเยอทะยานอยากขับเคลื่อนความทะเยอทะยานอยากโดยควบคุมได้
ทำอย่างไรให้ใจสะอาด
เริ่มจากปล่อยวางสิ่งต่างๆ ลง อย่ายึดติดยึดถือให้มากนักแล้วอยู่กับปัจจุบันอะไรที่อยู่กับเรา เป็นของเรา ย่อมอยู่กับปัจจุบันของเราด้วยนั่นคือสิ่งจริงแท้แน่นอน การปล่อยวางสิ่งต่างๆ ลง เท่ากับการเทขยะทิ้งการอยู่กับปัจจุบัน เท่ากับการปิดฝาถังขยะ ไม่เปิดรับขยะใหม่ๆให้ใจต้องสกปรกรกรุงรังอีกเพื่อมีเวลาทำความสะอาดหัวใจให้ผ่องใส เบิกบาน
ใจ...แท้จริงผ่องใสด้วยตัวของมันเองแต่คนที่เป็นเจ้าของหัวใจต่างหาก ที่ชักนำสิ่งต่างๆ มาปะพอก จนใจนั้นหมดสภาพฟื้นหัวใจให้กลับไปผ่องใสดังเดิมกันเถิด ปัดฝุ่นและคราบเขม่าทั้งหลายแล้วเปิดทางให้หัวใจได้หายใจ เต้น และรู้สึกด้วยตัวของมันเอง
อย่าไปบงการหัวใจมากเพราะแทนที่จะเป็นหัวใจ มันจะกลายเป็นถังขยะแทน ^^
ใจหลายคน รุงรังไปด้วยความกลัวกลัวเขาจะไม่รักกลัวเงินจะหมด กลัวฝนจะตก กลัวนายจ้างจะเลิกจ้าง กลัวเพื่อนร่วมงานจะได้ดีกว่ากลัวไม่ก้าวหน้า ไม่ได้โบนัส ฯลฯ
กลัวไปทำไมเรื่องบางเรื่องเราตัดสินเองไม่ได้ อยู่นอกเหนือจากการควบคุม ซึ่งกลัวไปก็เท่านั้นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นสักนิดบางเรื่องแทบไม่มีวันมาถึงในชีวิต ก็กลัวล่วงหน้ากลัวจนประสาทเสีย
จงพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกคนและทุกสิ่งในชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีซึ่งต้องเริ่มจากการทำแต่สิ่งที่ดี โปร่งใส ไม่เป็นแผลติดตัวที่ต้องปิดบังซ่อนเร้นและจงขจัดความกลัวออกไปจากใจเพื่อให้เกิดความมั่นใจที่จะใช้ชีวิตของเราให้สมศักดิ์ศรีเพื่อที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อทำให้ชีวิตนี้ดีกว่าเดิม
6. ความอยาก
จง "อยาก" ให้พอดีกับกำลังกาย กำลังทุนและกำลังสติปัญญาของตัวเองอย่าอยากจนเกินกำลัง เพราะจะทำให้สิ้นกำลังได้ง่ายแล้วกลายเป็นคนพ่ายแพ้ อ่อนแอ หมดสิ้นความทะเยอทะยานอยากในชีวิต
ความทะเยอทะยานอยากเหมือนรถ แต่ใจเราคือคนขับรถแล่นด้วยความเร็วกำลังดี เราก็ได้ประโยชน์ จอดอยู่เฉยๆ ก็นิ่งอยู่กับที่แต่หากแล่นฉิวจนเกินควบคุม ก็อันตรายกับชีวิตฉะนั้นใจต้องเป็นนายของความทะเยอทะยานอยากขับเคลื่อนความทะเยอทะยานอยากโดยควบคุมได้
ทำอย่างไรให้ใจสะอาด
เริ่มจากปล่อยวางสิ่งต่างๆ ลง อย่ายึดติดยึดถือให้มากนักแล้วอยู่กับปัจจุบันอะไรที่อยู่กับเรา เป็นของเรา ย่อมอยู่กับปัจจุบันของเราด้วยนั่นคือสิ่งจริงแท้แน่นอน การปล่อยวางสิ่งต่างๆ ลง เท่ากับการเทขยะทิ้งการอยู่กับปัจจุบัน เท่ากับการปิดฝาถังขยะ ไม่เปิดรับขยะใหม่ๆให้ใจต้องสกปรกรกรุงรังอีกเพื่อมีเวลาทำความสะอาดหัวใจให้ผ่องใส เบิกบาน
ใจ...แท้จริงผ่องใสด้วยตัวของมันเองแต่คนที่เป็นเจ้าของหัวใจต่างหาก ที่ชักนำสิ่งต่างๆ มาปะพอก จนใจนั้นหมดสภาพฟื้นหัวใจให้กลับไปผ่องใสดังเดิมกันเถิด ปัดฝุ่นและคราบเขม่าทั้งหลายแล้วเปิดทางให้หัวใจได้หายใจ เต้น และรู้สึกด้วยตัวของมันเอง
อย่าไปบงการหัวใจมากเพราะแทนที่จะเป็นหัวใจ มันจะกลายเป็นถังขยะแทน ^^
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น