คำคม

ปัญหามีไว้ให้หาปัญญา อุปสรรคมีไว้ให้ฝึกหาทางออก วันไหนที่มีความสุข วันนั้นอย่าทำความสุขในชีวิตหล่นหาย

วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

"เวลาที่เหลือของชีวี มาทำความดีกันเถอะ"

หลายท่านคงเคยได้ยินคำว่า "ให้ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เหมือนกับว่า วันนี้คือวันสุดท้ายของชีวิต" ซึ่งอาจเห็นหลายคนใช้เวลาไปอย่างไม่คุ้มค่า หากไม่ทราบจะทำอะไร ก็นั่งหายใจทิ้งเล่นไปวัน ๆ พอสอบถามก็ได้ความว่า "ผมกำลัง ฆ่าเวลา อยู่ครับ" ... ฆ่าเวลา เหมือนว่า มนุษย์มีเวลาให้ฆ่าซะมากมายเต็มประดา มนุษย์เรามีเวลากันสักกี่ร้อยกี่พันกี่หมื่นวันกันเชียว ประเดี๋ยวก็ตายแล้ว ทำไมเราไม่ถึงทำเวลาทุก ๆ วินาทีให้มีค่าที่สุดล่ะครับ จริงไหม :)ท่านชุติปัญโญ ได้สอนไว้ในบทความที่ชื่อ "เวลาที่เหลือของชีวิต มาทำความดีกันเถอะ" ในหนังสือ ชื่อ "มองโลกให้งาม ชีวิตก็งาม" เล่มล่าสุดของท่าน จึงขอยกบทดังกล่าว ดังต่อไปนี้ ครับ
 ******************************************************
 นกพิราบสองตัวผัวเมียอาศัยอยู่ในรังแห่งหนึ่ง เมื่อถึงหน้าฤดูผลไม้สุกงอม จะเป็นช่วงเวลาที่ทั้งคู่ดีใจยิ่งนัก เพราะจะได้หาเสบียงมาเก็บไว้ได้ง่าย ทั้งสองจึงช่วยกันเก็บผลไม้มาไว้จนเต็มรัง
อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อฤดูแล้งย่างกรายเข้ามา หลังจากออกไปหาผลไม้แล้วกลับมาที่รัง นกพิราบตัวผู้รู้สึกว่า ผลไม้ลดน้อยลง จึงเริ่มระแวงนกพิราบตัวเมีย
ยิ่งนานวันเข้า ไม่ว่าจะหามาไว้เต็มรังอย่างไร ผลไม้ที่เคยมีอยู่จำนวนมากก็ดูเหมือนลดลงทุกวัน ๆ ทำให้นกพิราบตัวผู้ระแวงนกพิราบตัวเมียมากขึ้นเรื่อย ๆ วันหนึ่งเมื่อทนไม่ไหวจึงพูดขึ้นว่า
"เสบียงที่อยู่ในรังนี้ เราทั้งสองต่างช่วยกันเก็บมา แต่พอข้าเผลอทีไร เจ้าเป็นต้องแอบกินทุกที จนผลไม้ที่เคยเต็มรังลดลงทุกวัน เจ้าทำอย่างนี้ทำไม?"
ฝ่ายนกพิราบตัวเมียเมื่อได้ฟังคำกล่าวหาเช่นนั้น ก็รีบชี้แจงให้สามีของตนรับทราบในทันที
"ฉันไม่เคยแอบกินก่อนเลยนะ เหตุที่ผลไม้มัดูลดลงเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะฉันกิน แต่เป็นเพราะอากาศที่ร้อนจัดต่างหากมาแผดเผาจนมันเหี่ยวแห้งและหดตัว จึงทำให้ผลไม้ที่มีปริมาณเท่าเดิมดูเหมือนหายไป"
แต่นกพิราบตัวผู้กลับไม่เชื่อในคำกล่าวของนกพิราบตัวเมีย หนำซ้ำกลับแสดงความโกรธตอบกลับคืน เพราะคิดว่าคำกล่าวนั้นเป็นข้อแก้ตัวให้ตัวเองพ้นข้อกล่าวหา
เมื่อระงับความโกรธไม่อยู่ นกพิราบตัวผู้ก็กระโดดเข้าจิกตีนกพิราบตัวเมียอย่างรุนแรงด้วยความรู้สึกโกรธแค้น ที่ภรรยาแอบกินผลไม้ก่อน แถมยังโกหกด้วย ในที่สุด นกพิราบตัวเมียก็สิ้นใจตายในเวลาต่อมา
จนกระทั่งเมื่อมีฝนตกลง สิ่งที่มาเปลี่ยนความคิดของนกพิราบตัวผู้ก็เกิดขึ้น คือ เมื่อฝนโปรยปรายลงมา ผลไม้ที่อยู่ในรังที่เหี่ยวแห้ง ก็มีการขยายตัวขึ้น ทำให้รังของนกพิราบกลับมามีผลไม้เต็มรังเหมือนเดิม
เมื่อนกพิราบตัวผู้เห็นปรากฎการณ์เช่นนั้น ก็คิดได้ว่า สิ่งที่เมียรักกล่าวไว้นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่เป็นคำโกหกแต่อย่างใด นกพิราบตัวผู้จึงรู้สึกผิดในการกระทำของตนที่มัวแต่หวาดระแวงจนเป็นเหตุให้ฆ่านางตาย ทำให้ตัวมันเองต้องบินร้องเรียกหาภรรยา ด้วยความอาลัยรักตลอดมา จนกระทั่งตรอมใจตายในที่สุด
 บางครั้งชีวิตของเราก็ไม่ต่างอะไรกับนกพิราบทั้งคู่ ที่เมื่อแรกเริ่มเราต่างมีความหวังว่าชีวิตจะดีขึ้น หากมีใครมาคอยเคียงข้าง และคอยให้กำลังใจเมื่ออีกฝ่ายพลาดล้มลง
ทว่าเมื่อชีวิตได้มีการเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุด แต่ครั้นอยู่ต่อมาเรื่อย ๆ โดยไร้ความเข้าใจ สิ่งที่ตามมาก็มักจะเกิดการกระทบกระทั่งกันเสมอ บางครั้งก็ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเริ่มรู้สึกอึดอัดเมื่อต้องอยู่ด้วยกันนาน ๆ
จากเมื่อแรกเริ่มที่เคยรัก ก็กลับกลายเป็นความร้ายทุกจังหวะของการเคลื่อนไหวในนามของความรัก กลายเป็นการแสดงออกของความร้ายที่เข้ามาสิงสถิตแทน
จากที่ไม่เคยระแวงก็กลายเป็นความห่วงหวง เพราะคิดว่าตัวเองคือเจ้าของสิ่งนั้น ๆ ที่ต้องคอยจับจ้องมองไม่ให้ห่างตา จนเกิดเป็นความยึดติดในสิ่งนั้นแทน
จากที่เคยเข้าใจก็กลายเป็นเอาแต่ใจ เพื่อให้อีกฝ่ายทำตามที่ความรู้สึกของตนเรียกหา แม้ว่าสิ่งนั้น ๆ จะผิดครรลองครองธรรมก็ตาม
ทุกภาพของการเคลื่อนไหวในชีวิต จึงก่อให้เกิดเป็นรอยร้าว และนำไปสู่ความเลวร้าย เกินกว่าที่จะเยียวยาให้กลับมาดีได้ดั่งเดิม
ชีวิตที่ก้าวไปกับสังคมก็เช่นเดียวกัน เมื่อใดก็ตามที่เรามองมาที่การเข้าข้างตัวเองเป็นหลัก และมองว่าความคิดเห็นของคนอื่นนั้นผิด เมื่อนั้นสิ่งร้าย ๆ ก็พร้อมจะเข้ามาเปลี่ยนชีวีของเราให้แหลกเหลวอย่างไม่มีชิ้นดี
ทำให้ชีวิตที่เกิดมาแล้ว และควรจะได้รับการต่อยอดให้มีกำไรที่งดงามกว่าเดิม เป็นได้แค่เพียงซากชีวิตที่ถูกใช้งานมาอย่างบ้าคลั่ง และพร้อมจะจากไปโดยไม่กล้าบอกใคร ๆ ว่า เรามีคุณค่าที่น่าจดจำแต่อย่างใด
ด้วยเหตุนี้ เราจึงควรกลับมาทบทวนชีวิต และชวนพี่น้องผองมิตร ให้เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดต่อกันด้วยใจที่ปรารถนาดี ช่วยกันถักทอความดีเล็ก ๆ ให้เกิดขึ้น ด้วยจิตที่เอื้ออารีต่อสิ่งที่เราได้มีโอกาสรู้จัก และพร้อมจะต่อยอดให้เป็นความดีที่ยิ่งใหญ่ในโอกาสต่อไป
 "เวลาที่เหลือของชีวี มาทำความดีกันเถอะ" จึงเป็นถ้อยคำแห่งความหวังดี ที่เราควรเรียกร้องให้เกิดมีในตัวเรา รวมทั้งการขยายความดีที่ทรงคุณค่านั้นไปให้ผู้คนได้รับรู้ถึงความงามที่ควรจะทำให้ปรากฎร่วมกัน
เพราะเมื่อประมวลผลอย่างคนที่รู้เท่าทันชีวิต เวลาที่เราได้มาและเวลาที่เหลืออยู่ของแต่ละคน ช่างน้อยนิดเสียนี่กระไร จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรหลงใหลไปกับมัน
แต่เราควรดึงสติให้กลับมาทำความรู้จักชีวิตด้วยปัญญา หมั่นสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้เกิดมีแต่ตัวเรา และโลกใบนี้ที่เราได้อยู่อาศัย ก่อนที่ชีวิตนี้จะต้องกล่าวอำลา เพราะมีความตายมารอพรากให้จากไป
เพราะชีวิตนี้ช่างสั้นนัก จนเวลาที่จะหยุดพักนั้นแทบจะไม่เหลือให้เราได้ชื่นชมกับเรื่องใด ๆ ด้วยเหตุนี้ เราจึงควรเรียนรู้ที่จะเกี่ยวข้องต่อกันและกัน ด้วยใจที่มีเมตตาคอยนำทาง เพื่อเป็นแสงสว่างและเป็นแรงดลใจให้ชีวิตที่เหลืออยู่ของแต่ละคน ได้มีโอกาสทำความดีที่มากกว่าเดิม
แล้วเราจะไม่เสียใจ หากได้ลงมือเยียวยาชีวิตด้วยความดีที่มีอยู่ และได้ช่วยกันสร้างสิ่งดี ๆ ไว้ อย่างน้อยเราก็ตอบใจตัวเองได้ว่า "เราได้ทำหน้าที่ของคนดีอย่างเต็มที่แล้ว"
 ผู้เขียนเชื่อเสมอว่า ความดีที่ยิ่งใหญ่ ก็มาจากต้นกล้าของความดีที่เล็ก ๆ ความสุขที่สมบูรณ์พร้อม ก็มาจากความสุขที่เล็ก ๆ ที่มีความเข้าใจเป็นบันไดให้ไต่ขึ้นไป สู่ความสุขที่มีปริมาณที่มากกว่าเสมอ
 *********************************************
 ชีวิตของเรา เราเป็นคนเลือกเดิน ... เส้นทางไหนเป็นเส้นทางความดี ก็ควรเลือกทางนั้น ลำบากสักหน่อย ก็เตือนตนว่า การทำความดีย่อมมีอุปสรรคเป็นธรรมดา เส้นทางไหนไม่ดี ก็ไม่ควรเลือกทางนั้น ถึงแม้ว่า หนทางสบายในช่วงต้น หากจะลำบากหนักในภายหลัง
ที่มา http://www.gotoknow.org/blogs/posts/225458

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น