เหมือนกับเหรียญที่ย่อมต้องมีสองด้านด้วยกัน
คนเรานั้นเมื่อยืนอยู่บนจุดที่สูงจนสามารถมองลงมาเห็นผู้อื่นได้
ก็อาจต้องยอมแลกกับบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้ได้มายืนตรงจุดนี้
ก็อาจต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวด มิตรภาพแสนนาน
ความเปลี่ยวเหงาเดียวดาย ความหวาดกลัวระแวงระวัง
หรือแม้แต่การแลกมาด้วยความสุขก็อาจมีคนบางคนยอมแลกเช่นกัน
และเมื่อเราได้แลกมาด้วยอะไรก็ตามแล้ว
เราจำเป็นต้องยอมรับมัน ยอมรับกับความจริงที่เกิดให้ได้
เพราะเรานั้นเป็นผู้ที่เลือกทางเดินและจุดยืนให้กับชีวิตของเราเอง
นอกเหนือไปจากนี้เราจะต้องยอมรับกับอีกสิ่งหนึ่ง
ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวเราในอนาคตอันใกล้
หากเราพลาดพลั้งและพลัดตกลงมาจากบัลลังก์อันสูงลิบ
เราย่อมต้องเจ็บหนักเป็นธรรมดาจากความสูงสุดฟ้าที่เรายืนอยู่"
"แค่เพียงการยืนอยู่ในจุดที่แตกต่าง ก็ทำให้เรามองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย"
เหมือนเราถ่ายรูปเช่นกันใช่มั้ยครับ เพียงเรามองต่าง เราก็สามารถมองสิ่งเดียวกันได้หลากหลายน่าสนใจต่างกัน
มีนิทานเรื่องตะเกียง ที่สอนให้คนมองให้รอบด้านก่อนตัดสินใจ ไม่ควรด่วนตัดสินใจในสิ่งที่ตนเห็น ในมุมที่ตนอยู่ แต่ให้เราเดินไปมุมที่คนอื่นเขานั่งอยู่และดูในมุมเขา เราพบ เสียงสีที่ต่างของตะเกียงจริงๆ
เราขัดแย้งเพราะ เรายึดมั่นในแสงสีตะเกียงที่เราเห็น หารู้ไม่ว่า ทุกมุมของตะเกียงนั้น ให้สีต่างกัน แต่ละคนแต่ละมุมก็เฝ้าเถียงกันว่า ของตัวเองบอกสีถูกต้อง...
เป็นที่มาของความขัดแย้ง...
เราจึงไม่ควรมองสิ่งที่เห็นเพียงด้านใดด้านหนึ่ง แล้วด่วนสรุปคุณค่าของสิ่งนั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น