ผู้เฒ่าซ่ายเป็นคนที่เข้าใจโลกและชีวิตดีมากคนหนึ่ง เขามีความเห็นว่า เรื่องราวบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องดีโดยเด็ดขาด และไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องโชคร้ายโดยสิ้นเชิง ทุกอย่างจะต้องมองสองด้านเสมอ ดังนั้นเมื่อเขาพบกับเคราะห์ร้ายก็ไม่โศกเศร้า เมื่อพบกับโชคดีก็ไม่ดีอกดีใจจนเกินไป มีท่าทีต่อเรื่องต่างๆ ที่ตนประสบพบด้วยความสวบนิ่ง มีอยู่วันหนึ่งม้าตัวหนึ่งของเขาวิ่งหายไป เพื่อนฝูงของเขาเมื่อรู้ข่าวต่างพากันมาเยี่ยมปลอบใจเขา แต่ผู้เฒ่าซ่ายกลับบอกว่า
“ขอบคุณทุกท่านที่มีน้ำใจ แต่ทว่าข้าพเจ้ากลับไม่เสียใจด้วยเรื่องนี้ เสียม้าไปแล้ว ไม่แน่อาจเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งก็ได้
ผ่านไปไม่กี่วัน เจ้าม้าตัวนั้นได้กลับมาเองและยังพาม้าพันธุ์ดีล้ำค่ากลับมาด้วยอีก 1 ตัว เพื่อนฝูงทราบต่างพากันมาแสดงความยินดี แต่เขาพูดว่า
“ไม่มีอะไรที่มีคุณค่าจนจำเป็นต้องแสดงความยินดี ได้ม้ามาอีกตัว ไม่แน่อาจเป็นคราวเคราะห์อย่างหนึ่งก็ได้”
ลูกชายของผู้เฒ่าช่าย ชอบม้าพันธุ์ดีตัวนั้นมาก มักขี่ออออกไปเที่ยวเล่นเสมอ ม้าตัวนั้นก็วิ่งเร็วมาก มีอยู่คราวหนึ่งลูกชายของผู้เฒ่าช่ายตกจากหลังม้าจนขาพิการข้างหนึ่ง เพื่อนของผู้เฒ่าช่ายพากันมาแสดงความเสียใจกับเขา ผู้เฒ่าช่ายพูดตอบกลับเพื่อนๆ ด้วยท่าทีสงบเยือกเย็นอย่างยิ่งว่า
“ขาพิการไปข้างหนึ่ง ถึงที่สุดแล้วเป็นเรื่องเคราะห์ร้ายหรือโชคดี ยังตัดสินได้ยาก”
ต่อมาไม่นานเกิดสงครามระหว่างประเทศจีนกับชนเผ่าหู ชายฉกรรจ์ทั้งประเทศต่างถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารปกป้องประเทศ สงครามคราวนั้นเกิดรบกันอย่างดุเดือดติดพันยาวนาน คนหนุ่มจำนวนมากได้ตายในสนามรบ แต่เนื่องจากลูกชายของผู้เฒ่าช่าย เนื่องจากขาพิการจึงไม่ต้องไปเกณฑ์ทหาร พำนักอยู่ในบ้านดำเนินชีวิตอย่างสงบสุข
สรรพสิ่งในโลกล้วนไม่เที่ยง มีขึ้นมีลงอยู่ตลอดเวลา มีลาภเสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์ โลกธรรมทั้ง๘ นี้ ต่างหมุนเวียนเปลี่ยนไป โบราณจึงบอกว่า “ เมื่อเจอเรื่องดีใจก็ให้ยิ้มเพียงมุมปากเดียว อย่าถึงกับหัวเราะฮาๆ ไม่อย่างนั้น ถึงคราวพบเรื่องเสียใจจะต้องร้องไห้โฮๆ” และเมื่อเราพบความยากลำบากขออย่าได้ท้อถอย ให้ถือคติว่า “ยิ่งมืดยิ่งดึก ยิ่งดึกยิ่งใกล้สว่าง” กัดฟันค่อยๆแก้ปัญหาไปทีละเปลาะด้วยดวงใจที่เยือกเย็น มั่นคง ยึดมั่นในความดี มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง สุดท้ายปัญหาจะคลี่คลายไป เรื่องร้ายจะกลับดีในที่สุด
“ขอบคุณทุกท่านที่มีน้ำใจ แต่ทว่าข้าพเจ้ากลับไม่เสียใจด้วยเรื่องนี้ เสียม้าไปแล้ว ไม่แน่อาจเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งก็ได้
ผ่านไปไม่กี่วัน เจ้าม้าตัวนั้นได้กลับมาเองและยังพาม้าพันธุ์ดีล้ำค่ากลับมาด้วยอีก 1 ตัว เพื่อนฝูงทราบต่างพากันมาแสดงความยินดี แต่เขาพูดว่า
“ไม่มีอะไรที่มีคุณค่าจนจำเป็นต้องแสดงความยินดี ได้ม้ามาอีกตัว ไม่แน่อาจเป็นคราวเคราะห์อย่างหนึ่งก็ได้”
ลูกชายของผู้เฒ่าช่าย ชอบม้าพันธุ์ดีตัวนั้นมาก มักขี่ออออกไปเที่ยวเล่นเสมอ ม้าตัวนั้นก็วิ่งเร็วมาก มีอยู่คราวหนึ่งลูกชายของผู้เฒ่าช่ายตกจากหลังม้าจนขาพิการข้างหนึ่ง เพื่อนของผู้เฒ่าช่ายพากันมาแสดงความเสียใจกับเขา ผู้เฒ่าช่ายพูดตอบกลับเพื่อนๆ ด้วยท่าทีสงบเยือกเย็นอย่างยิ่งว่า
“ขาพิการไปข้างหนึ่ง ถึงที่สุดแล้วเป็นเรื่องเคราะห์ร้ายหรือโชคดี ยังตัดสินได้ยาก”
ต่อมาไม่นานเกิดสงครามระหว่างประเทศจีนกับชนเผ่าหู ชายฉกรรจ์ทั้งประเทศต่างถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารปกป้องประเทศ สงครามคราวนั้นเกิดรบกันอย่างดุเดือดติดพันยาวนาน คนหนุ่มจำนวนมากได้ตายในสนามรบ แต่เนื่องจากลูกชายของผู้เฒ่าช่าย เนื่องจากขาพิการจึงไม่ต้องไปเกณฑ์ทหาร พำนักอยู่ในบ้านดำเนินชีวิตอย่างสงบสุข
สรรพสิ่งในโลกล้วนไม่เที่ยง มีขึ้นมีลงอยู่ตลอดเวลา มีลาภเสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์ โลกธรรมทั้ง๘ นี้ ต่างหมุนเวียนเปลี่ยนไป โบราณจึงบอกว่า “ เมื่อเจอเรื่องดีใจก็ให้ยิ้มเพียงมุมปากเดียว อย่าถึงกับหัวเราะฮาๆ ไม่อย่างนั้น ถึงคราวพบเรื่องเสียใจจะต้องร้องไห้โฮๆ” และเมื่อเราพบความยากลำบากขออย่าได้ท้อถอย ให้ถือคติว่า “ยิ่งมืดยิ่งดึก ยิ่งดึกยิ่งใกล้สว่าง” กัดฟันค่อยๆแก้ปัญหาไปทีละเปลาะด้วยดวงใจที่เยือกเย็น มั่นคง ยึดมั่นในความดี มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง สุดท้ายปัญหาจะคลี่คลายไป เรื่องร้ายจะกลับดีในที่สุด
ภูเขาศิลาล้วนตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวเพราะแรงลมฉันใด
ผู้ที่ทำนิพพานให้แจ้งแล้ว ก็ย่อมมีจิตใจตั้งมั่น
ไม่หวั่นไหวในโลกธรรม ฉันนั้น
(พุทธพจน์)
ผู้ที่ทำนิพพานให้แจ้งแล้ว ก็ย่อมมีจิตใจตั้งมั่น
ไม่หวั่นไหวในโลกธรรม ฉันนั้น
(พุทธพจน์)
ที่มา : หนังสือมังกรสอนใจ โดยพระมหาสมชาย ฐานวุฒโฑ MD.,Ph.D.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น