คำคม

ปัญหามีไว้ให้หาปัญญา อุปสรรคมีไว้ให้ฝึกหาทางออก วันไหนที่มีความสุข วันนั้นอย่าทำความสุขในชีวิตหล่นหาย

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2555

มีและเป็นอย่างไรถึงจะไม่ทุกข์

ชีวิตคนเราส่วนใหญ่หมุนเวียนไปตามความอยาก มีความอยากเป็นตัวผลักดันให้โลดแล่นไป ความอยากของคนเรานั้น จะว่าไปก็หนีไม่พ้นความอยากมี กับความอยากเป็น เช่น อยากมีเงินมีทอง อยากมีชื่อเสียงเกียรติยศ หรืออยากเป็นคนเด่นคนดัง เป็นนักกีฬา เป็นดารา แต่ไม่ว่าจะมีอะไร หรือเป็นอะไร ถ้าอยากมีอยากเป็น แล้วก็ทำให้ทุกข์ทั้งนั้น ไม่ใช่ทุกข์เพียงเพราะมีความอยากเท่านั้น แม้ได้มี ได้เป็นสมอยาก ในที่สุดก็ทุกข์เช่นกัน
ทันทีที่มีความอยากขึ้นมา ใจก็เป็นทุกข์แล้ว เพราะว่ายังไม่ได้สมอยาก ระหว่างที่ดิ้นรนขวนขวายไปหาสิ่งนั้นมา ก็ทุกข์อีก ต้องเจออุปสรรคมากมายกว่าจะฟันฝ่าจนได้มา ครั้นได้มาแล้วก็ทุกข์ ในการที่ต้องรักษา ต้องดูแล กลัวคนจะมาแย่งเอาไป ครั้นสิ่งที่หามาได้เกิดเสื่อมไป หรือถูกคนแย่งชิงไป ก็ทุกข์อีก
เห็นได้ว่า ทุกขั้นตอนของความอยาก เริ่มจากการมีความอยาก ไปจนถึงการตอบสนองความอยาก และรักษาสิ่งที่ตนอยากเอาไว้ ล้วนเต็มไปด้วยความทุกข์ เราทุกข์ เพราะกลัวความพลัดพรากสูญเสีย จึงต้องดิ้นรนเพื่อป้องกันการพลัดพรากสูญเสียเอาไว้ แต่บ่อยครั้งก็ไม่สามารถป้องกันไว้ได้ เพราะความพลัดพรากสูญเสียเป็นธรรมดาของชีวิต
แต่ถึงแม้ความพลัดพรากสูญเสีย ยังไม่เกิด ทรัพย์สมบัติของเรายังคงอยู่ในสภาพเดิม เราก็หนีความทุกข์ไม่พ้น แต่คราวนี้ทุกข์เพราะ อยากได้อันใหม่ที่ดีกว่า คนที่มีรถราคาแพงหลายล้านบาท ยากนักที่จะพอใจกับรถคันเดิม ส่วนใหญ่อยากได้รถคันใหม่ ที่แพงหรือแรงกว่าเดิม อาหารอร่อยก็เช่นกัน แม้ว่าจะชอบแค่ไหน แต่เมื่อกินไปทุกวันๆ ๆ ก็เบื่อได้ ทั้งๆ ที่รสชาติก็เหมือนเดิม
มีอะไรก็ตาม ถ้าเรามีไม่เป็น ก็ทุกข์ได้ทั้งนั้น
พระพุทธองค์ เคยตรัสกับนางวิสาขาซึ่งเศร้าโศกเสียใจที่หลานสาวตาย พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า ถ้าคนในกรุงสาวัตถีน่ารักเหมือนหลานของนาง นางจะรักเขาเหมือนหลานไหม นางวิสาขาตอบว่ารัก พระองค์จึงถามต่อว่า คนในกรุงสาวัตถีตายวันละกี่คน นางตอบว่ามากจนนับไม่ได้ พระองค์จึงถามว่า ถ้าเช่นนั้นนางไม่ต้องเศร้าโศกทั้งวันทั้งคืนดอกหรือ
แล้วพระองค์ก็ตรัสว่า วิสาขาเอย ผู้ใดมีสิ่งที่รักร้อยสิ่ง ผู้นั้นก็ทุกข์ร้อย ผู้ใดมีสิ่งที่รักเก้าสิบ ผู้นั้นก็ทุกข์เก้าสิบ ผู้ใดมีสิ่งที่รักแปดสิบ ผู้นั้นก็ทุกข์แปดสิบ ผู้ใดมีสิ่งที่รักเพียงหนึ่ง ผู้นั้นก็ทุกข์หนึ่ง ผู้ใดไม่มีสิ่งที่รัก ผู้นั้นก็ไม่มีทุกข์ ไม่มีโศก ไม่มีความคับแค้นใจ
การมีสิ่งที่น่าพึงพอใจ คือสาเหตุแห่งทุกข์ เพราะเมื่อได้มาแล้ว ก็ต้องมีจากพราก เป็นธรรมดาของโลก ถ้าไปยึดในความมี หรือยึดติดถือมั่นในสิ่งที่มีแล้ว ก็เตรียมใจทุกข์ได้เลย มีอะไรก็ตาม ถ้าไม่อยากทุกข์ ก็อย่าไปยึดมั่นในสิ่งนั้น คือมี โดยใจไม่ได้เข้าไปยึดครอง พูดอีกอย่างหนึ่ง ให้เรามี เหมือนกับไม่มี
ทีนี้เราลองหันมาดู ความเป็น บ้างใคร ๆ ก็อยากเป็นคนเก่ง แต่พอรู้ว่ามีคนอื่นเก่งกว่า ก็ไม่สบายใจ เกิดความอิจฉาริษยา ถ้ามีใครมาวิจารณ์ว่า ไม่เก่ง ก็โมโห หรือเล่นกีฬาแล้วแพ้ ก็เป็นทุกข์ ทั้งๆ ที่การแพ้เป็นเรื่องธรรมดา แต่ทุกข์เพราะว่า ฉันเป็นคนเก่ง คนเก่งต้องไม่แพ้ ในทำนองเดียวกัน ใครที่เป็นคนเด่นคนดัง แต่ถ้าไปไหนไม่มีคนทักหรือคนรู้จัก ก็เป็นทุกข์
แม้แต่ความเป็นแม่เป็นพ่อ ทันทีมีความสำนึกขึ้นมาว่า ฉันเป็นพ่อเป็นแม่ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ อยากจะให้ลูกเคารพเชื่อฟัง ไม่อยากให้โต้เถียงเรา นี่เป็นกิเลสอย่างหนึ่งที่ติดมากับ ความเป็นแม่หรือความเป็นพ่อ แต่พอลูกไม่เป็นอย่างที่เราคาดหวัง ก็เป็นทุกข์ เรียกว่าความเป็นแม่ความเป็นพ่อ มันกัดเรา
มีตัวอย่าง แม่คนหนึ่งที่กลุ้มใจเรื่องลูก ลูกเอาแต่เล่นเกมออนไลน์ การบ้านไม่ทำ การเรียนไม่เอาใจใส่ ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เรียกให้มากินข้าว ก็ไม่กิน นอนก็ไม่เป็นเวล่ำเวลา พอแม่ว่ากล่าวมากๆ ลูกก็ไม่พอใจตามประสาวัยรุ่น จนถึงกับปั้นปึ่ง ไม่พูดกับแม่ แม่ก็น้อยอกน้อยใจว่า อุตส่าห์เลี้ยงลูกมาด้วยความรัก แต่ลูกมาทำกับแม่อย่างนี้ จึงยื่นคำขาดว่า ถ้าลูกไม่พูดด้วย แม่จะโดดตึก แล้วลูกก็ไม่พูดกับแม่จริงๆ แม่เสียใจมาก จึงกระโดดตึกตายจริง ๆ
อย่างนี้เรียกว่า ถูกความเป็นแม่ทำร้ายเอา คือไปยึดถือกับความเป็นแม่มาก สำคัญว่าฉันเป็นแม่ ดังนั้นลูกต้องเชื่อฟังฉัน ต้องไม่เย็นชากับฉัน แต่เมื่อไม่ได้รับสิ่งนั้นจากลูก ก็น้อยเนื้อต่ำใจ หัวใจสลาย จนทำร้ายตัวเอง
ไม่ว่าเป็นอะไรก็ตาม ย่อมทุกข์ได้ทั้งนั้น เพราะว่าเรามักจะเป็นกันไม่ถูก นั่นคือไปยึดความเป็นนั่นเป็นนี่เอาไว้ ทั้งๆ ที่มันเป็นแค่สมมุติ
เด็กนักเรียนที่สอบได้ที่ 1 จากโรงเรียนในชนบท อาจจะคิดว่าตัวเองเก่ง แต่ที่จริงมันเป็นแค่สมมุติ ที่หาความแน่นอนไม่ได้ เพราะพอไปเรียนในกรุงเทพ ฯ กลับสอบได้อันดับท้ายๆ แต่ถ้าหากว่าเรารู้ทันว่า ความเป็นคนเก่งนั้น เป็นเรื่องสมมุติ เราก็พร้อมที่จะปล่อยวางได้ และไม่ไปเป็นทุกข์กับมัน ยามมันเสื่อมสลายไป หรือในยามที่คนอื่น เขาไม่รับรู้สมมุติเหล่านั้น
จะมีอะไร ก็ต้องมีให้ถูก คือไม่ยึดมั่นถือมั่น พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงและความพลัดพรากสูญเสีย จะเป็นอะไร ก็เป็นให้ถูก คือรู้ว่าสิ่งที่เป็นนั้น เป็นแค่สมมุติ จะเป็นคนเก่ง คนดัง คนใหญ่คนโต เป็นอธิบดี ปลัดกระทรวง หรือผู้อำนวยการ ก็ล้วนเป็นสมมุติที่พร้อมจะแปรเปลี่ยนไป ไม่มีวันยั่งยืนได้ และถึงแม้จะยังไม่แปรเปลี่ยน แต่มันก็เจือไปด้วยทุกข์
แต่ถ้าให้ดีที่สุด ก็คือว่าไม่สำคัญมั่นหมายว่ามีหรือเป็นอะไรเลย
เคยมีพราหมณ์ผู้หนึ่ง เห็นพระพุทธองค์ว่ามีผิวพรรณวรรณะผ่องใส จึงถามพระองค์ว่า ท่านเป็นเทวดาหรือ พระพุทธองค์ทรงตอบปฏิเสธ พราหมณ์ถามต่อไปว่า ถ้าเช่นนั้นท่านคงเป็นคนธรรพ์ พระองค์ก็ปฏิเสธอีก พราหมณ์จึงพูดต่อว่า ท่านคงจะเป็นยักษ์แน่ พระองค์ก็ปฏิเสธ พราหมณ์จึงพูดว่า ท่านคงจะเป็นมนุษย์กระมัง พระพุทธองค์ทรงตอบว่าไม่ได้เป็น สุดท้ายพราหมณ์ก็เลยถามว่า ถ้าเช่นนั้นท่านเป็นอะไร
พระองค์ทรงตอบว่า กิเลสที่เป็นเหตุให้ได้ชื่อว่า เป็นเทวดาก็ดี เป็นคนธรรพ์ก็ดี เป็นยักษ์ก็ดี เป็นมนุษย์ก็ดี เราได้ละหมดแล้ว สุดท้ายพระองค์ก็ตรัสกับพราหมณ์ว่า จงถือว่าเราเป็นพุทธะเถิด
พระพุทธองค์ไม่ทรงถือว่า พระองค์เป็นอะไรเลย แต่หากจะเรียกขาน ก็ขอให้เรียกพระองค์ว่าพุทธะ ทั้งนี้เพราะพระองค์ตระหนักว่า การเป็นอะไรก็ตาม ล้วนเป็นเรื่องสมมติ ถ้าเข้าไปยึดมั่นสำคัญหมาย ก็ทำให้เป็นทุกข์ทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นจะมีหรือเป็นอะไรก็ตาม อย่าเผลอเข้าไปยึดมั่นสำคัญหมายว่า นั่นเป็นตัวเรา หรือของเราจริงๆ มิฉะนั้นจะถูก ตัวกู ของกูกัดเอาจนหาความสุขไม่ได้
เขียนโดย พระไพศาล วิสาโล เป็นบทความใน น.ส.พ.กรุงเทพธุรกิจ นำมาจาก เว็บ visalo.org

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น