เรามักจะเอ่ยคำว่า ‘ขอบคุณ’ เมื่อมีใครทำอะไรให้ ดูจะเป็นการตอบแทนทางวาจา จนกลายเป็นสิ่งที่เราไม่รู้ว่ามีความสำคัญกับเราได้มากแค่ไหน
คนเรามักจะมองออกไปข้างหน้าและพูดถึงสิ่งที่เรายังไม่มี ถ้าพูดในแนวของ ‘กฎแห่งการดึงดูด’ ความรู้สึกของการไม่มีนั้น จะดึงดูดความขาดแคลนเข้ามามากขึ้น
ฟังดูไม่ดีเลยใช่มั้ย แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วย น่าตกใจมั้ยเล่า แต่มันจะเป็นการโกหกตัวเองมั้ย ถ้าเราจะบอกว่า เรามีทั้งๆ ที่ไม่มี
ลองมองดูอีกมุมหนึ่ง นั่นคือเราไม่ได้มองสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว เราลืมมันไป และบอกว่าเราไม่มี แล้วมันก็ยิ่งดึงดูดความไม่มีเข้ามา
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “โลกพร่องอยู่เป็นนิจ เพราะเป็นทาสตัณหา”
ถ้าเราปล่อยให้ตัวเองวิ่งตามตัณหา คือ ความอยากอยู่ตลอดเวลา เราจะเหนื่อยมากเลย เพราะจะไม่เคยวิ่งทันมันสักที มันสนุกที่จะล่อให้เราวิ่งไปเหมือนที่เขาผูกไม้ยาวไว้ที่หัวม้าแล้วผูกอาหารไว้ที่ปลายไม้ให้ม้าเห็น มันก็วิ่งไล่จะงับอาหารอยู่นั่นแหละ หรือเหมือนคนวิ่งไล่จับเงาตัวเองจนเหนื่อย ทั้งๆ ที่เพียงแต่หยุดยืนเฉยๆ หรือนั่งลง เงาก็จะอยู่กับเราแล้ว
จึงมีคำที่เราได้รับคำสอนมาตั้งแต่เด็กๆ ว่า “จงพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่” และในที่นี้เราพอใจได้ด้วยการขอบคุณสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว และพลังงานของกฎแห่งการดึงดูด ก็จะนำสิ่งต่างๆ มาให้เราเพิ่มขึ้น เพื่อให้เราได้ขอบคุณอีก แต่ก่อนหน้านั้น เพียงแต่เรารู้สึกขอบคุณสิ่งที่เรามี เราก็ได้ความสุขใจมาก่อนแล้วละ
เช้าวันอาทิตย์วันหนึ่ง หลังจากที่ฉันกินข้าวหมูแดงจนคลายความหิวซ่กไปแล้ว ก็ยังคงนั่งอ้อยอิ่งอยู่ในร้าน ซึ่งข้างๆ มีสวนเล็กๆ น่ารักๆ อยู่ด้วย นั่งมองแสงแดดบนใบไม้แล้ว ฉันก็ลองนึกถามตัวเองสนุกๆ ว่าเอาละ ลองขอบคุณดูสิ มีอะไรบ้างที่เราต้องขอบคุณ
ขอบคุณข้าวหมูแดงอร่อยๆ จานนี้ ขอบคุณเจ้าของร้าน ขอบคุณแม่ครัว ขอบคุณหมู เออ...ใช่ ขอบคุณหมู ขอบคุณคนเลี้ยงหมูด้วย
ขอบคุณข้าว ขอบคุณดินในนา ขอบคุณฝน ขอบคุณแสงแดด สายลม ขอบคุณชาวนา ขอบคุณโรงสี ขอบคุณคนขับรถบรรทุกข้าว ขอบคุณน้ำมันรถด้วย ฮ่า ฮ่า โอ๊ะ เพิ่งนึกได้ว่ากว่าจะได้กินข้าวสักจานนี่ มันมายาวไกลแท้ น้อ ฉันนึกขำในใจ ขอบคุณอย่างนี้ก็ดี ทำให้เรามองกว้างขึ้น เป็นมิตรกับโลกมากขึ้น
มันให้ความรู้สึกที่ดีว่า เรามีอะไรให้ขอบคุณมากมาย เราไม่จำเป็นต้องมีสิ่งที่ดีเลิศที่สุดเสียก่อนจึงจะขอบคุณได้ สิ่งที่เรามีอยู่แล้วนั่นแหละ คือสิ่งที่เราควรขอบคุณและมองมันด้วยความรู้สึกดีๆ
พุทธพจน์ : ไม่ควรมองหาความผิดผู้อื่นหรือธุระที่เขาทำแล้วหรือยังไม่ทำ ควรตรวจดูเฉพาะสิ่งที่ตนทำหรือยังไม่ทำเท่านั้น
เคยมีการคุยกันในหมู่คนทำงานด้วยกัน มักจะบอกว่า ไม่มีเงินเลย ฉันบอกว่านั่นเป็นการมองถึงสิ่งที่ยังไม่มี ถ้าคุณไม่มีเงินเลย ทำไมคุณมีเงินผ่อนบ้านทุกเดือน มีเงินผ่อนรถทุกเดือน มีเงินค่าเล่าเรียนลูก มีเงินค่าอาหารกลางวันลูก มีข้าวเช้าข้าวเย็นให้ครอบครัวได้กินกัน เสื้อผ้าคุณเก่าจนขาดหรือ...
ไม่ใช่นี่ ยังมีเสื้อดีๆ ใส่อยู่ คุณควรขอบคุณสิ่งที่คุณมีอยู่แล้วบ้างนะ จะได้มีอะไรเข้ามาให้คุณได้ขอบคุณได้อีก ถ้าคิดว่านั่นเป็นการไม่จริงใจ เป็นการขอบคุณเพื่อหวังผล คุณก็เพียงจริงใจกับการขอบคุณของคุณ
เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่คุณมีอยู่แล้วจริงๆ ไม่ใช่หรือ และมันได้ทำหน้าที่ของมันเพื่อคุณอยู่ทุกวันไม่ใช่หรือ ดังนั้นอย่างน้อยมันก็ควรได้รับคำขอบคุณ
ดีพัค โชปรา ได้ให้คำจำกัดความว่า “ความปล่อยวางนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเหลือเฟือ ความยึดมั่นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความขาดแคลน”
ฉันเคยรู้สึกขาดแคลนอยู่ในใจมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา คงเป็นเพราะฉันมีหน้าที่การงานอยู่กับการปลดหนี้ของบริษัท มันยาวนานจนฝังเข้าไปในใจของฉัน เมื่อมองเข้าไปในใจฉันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกขาดแคลน เมื่อฉันได้อ่านคำจำกัดความนี้ ฉันก็เกิดสว่างขึ้นมาในใจว่า อ๋อ นี่ฉันเองเป็นคนยึดเอาความขาดแคลนนี้ไว้ไม่ยอมปล่อยเองหรอกหรือ วินาทีนั้นเองที่ฉันปล่อยมันไป
ตอนนี้ทุกครั้งที่มองเข้าไปในใจ ฉันพบกับความรู้สึกเหลือเฟือวางอยู่ที่นั่น มันเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ .. ขอบคุณ ดีพัค โชปรา
น้องคนหนึ่งบอกว่า “ผมไม่มีเงิน แต่ผมมีความสุขใจ เพราะผมพอใจในตัวของผมเอง”
ขอบคุณสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว และพอใจในตัวเราเอง นั่นคือความสุขในมือเรา เมื่อเราพอใจ ใจมันก็พอ.
เขียนโดย ขวัญ เพียงหทัย จากหนังสือ สุขใสใส นำมาจาก เว็บ ruendham.com
คนเรามักจะมองออกไปข้างหน้าและพูดถึงสิ่งที่เรายังไม่มี ถ้าพูดในแนวของ ‘กฎแห่งการดึงดูด’ ความรู้สึกของการไม่มีนั้น จะดึงดูดความขาดแคลนเข้ามามากขึ้น
ฟังดูไม่ดีเลยใช่มั้ย แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วย น่าตกใจมั้ยเล่า แต่มันจะเป็นการโกหกตัวเองมั้ย ถ้าเราจะบอกว่า เรามีทั้งๆ ที่ไม่มี
ลองมองดูอีกมุมหนึ่ง นั่นคือเราไม่ได้มองสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว เราลืมมันไป และบอกว่าเราไม่มี แล้วมันก็ยิ่งดึงดูดความไม่มีเข้ามา
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “โลกพร่องอยู่เป็นนิจ เพราะเป็นทาสตัณหา”
ถ้าเราปล่อยให้ตัวเองวิ่งตามตัณหา คือ ความอยากอยู่ตลอดเวลา เราจะเหนื่อยมากเลย เพราะจะไม่เคยวิ่งทันมันสักที มันสนุกที่จะล่อให้เราวิ่งไปเหมือนที่เขาผูกไม้ยาวไว้ที่หัวม้าแล้วผูกอาหารไว้ที่ปลายไม้ให้ม้าเห็น มันก็วิ่งไล่จะงับอาหารอยู่นั่นแหละ หรือเหมือนคนวิ่งไล่จับเงาตัวเองจนเหนื่อย ทั้งๆ ที่เพียงแต่หยุดยืนเฉยๆ หรือนั่งลง เงาก็จะอยู่กับเราแล้ว
จึงมีคำที่เราได้รับคำสอนมาตั้งแต่เด็กๆ ว่า “จงพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่” และในที่นี้เราพอใจได้ด้วยการขอบคุณสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว และพลังงานของกฎแห่งการดึงดูด ก็จะนำสิ่งต่างๆ มาให้เราเพิ่มขึ้น เพื่อให้เราได้ขอบคุณอีก แต่ก่อนหน้านั้น เพียงแต่เรารู้สึกขอบคุณสิ่งที่เรามี เราก็ได้ความสุขใจมาก่อนแล้วละ
เช้าวันอาทิตย์วันหนึ่ง หลังจากที่ฉันกินข้าวหมูแดงจนคลายความหิวซ่กไปแล้ว ก็ยังคงนั่งอ้อยอิ่งอยู่ในร้าน ซึ่งข้างๆ มีสวนเล็กๆ น่ารักๆ อยู่ด้วย นั่งมองแสงแดดบนใบไม้แล้ว ฉันก็ลองนึกถามตัวเองสนุกๆ ว่าเอาละ ลองขอบคุณดูสิ มีอะไรบ้างที่เราต้องขอบคุณ
ขอบคุณข้าวหมูแดงอร่อยๆ จานนี้ ขอบคุณเจ้าของร้าน ขอบคุณแม่ครัว ขอบคุณหมู เออ...ใช่ ขอบคุณหมู ขอบคุณคนเลี้ยงหมูด้วย
ขอบคุณข้าว ขอบคุณดินในนา ขอบคุณฝน ขอบคุณแสงแดด สายลม ขอบคุณชาวนา ขอบคุณโรงสี ขอบคุณคนขับรถบรรทุกข้าว ขอบคุณน้ำมันรถด้วย ฮ่า ฮ่า โอ๊ะ เพิ่งนึกได้ว่ากว่าจะได้กินข้าวสักจานนี่ มันมายาวไกลแท้ น้อ ฉันนึกขำในใจ ขอบคุณอย่างนี้ก็ดี ทำให้เรามองกว้างขึ้น เป็นมิตรกับโลกมากขึ้น
มันให้ความรู้สึกที่ดีว่า เรามีอะไรให้ขอบคุณมากมาย เราไม่จำเป็นต้องมีสิ่งที่ดีเลิศที่สุดเสียก่อนจึงจะขอบคุณได้ สิ่งที่เรามีอยู่แล้วนั่นแหละ คือสิ่งที่เราควรขอบคุณและมองมันด้วยความรู้สึกดีๆ
พุทธพจน์ : ไม่ควรมองหาความผิดผู้อื่นหรือธุระที่เขาทำแล้วหรือยังไม่ทำ ควรตรวจดูเฉพาะสิ่งที่ตนทำหรือยังไม่ทำเท่านั้น
เคยมีการคุยกันในหมู่คนทำงานด้วยกัน มักจะบอกว่า ไม่มีเงินเลย ฉันบอกว่านั่นเป็นการมองถึงสิ่งที่ยังไม่มี ถ้าคุณไม่มีเงินเลย ทำไมคุณมีเงินผ่อนบ้านทุกเดือน มีเงินผ่อนรถทุกเดือน มีเงินค่าเล่าเรียนลูก มีเงินค่าอาหารกลางวันลูก มีข้าวเช้าข้าวเย็นให้ครอบครัวได้กินกัน เสื้อผ้าคุณเก่าจนขาดหรือ...
ไม่ใช่นี่ ยังมีเสื้อดีๆ ใส่อยู่ คุณควรขอบคุณสิ่งที่คุณมีอยู่แล้วบ้างนะ จะได้มีอะไรเข้ามาให้คุณได้ขอบคุณได้อีก ถ้าคิดว่านั่นเป็นการไม่จริงใจ เป็นการขอบคุณเพื่อหวังผล คุณก็เพียงจริงใจกับการขอบคุณของคุณ
เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่คุณมีอยู่แล้วจริงๆ ไม่ใช่หรือ และมันได้ทำหน้าที่ของมันเพื่อคุณอยู่ทุกวันไม่ใช่หรือ ดังนั้นอย่างน้อยมันก็ควรได้รับคำขอบคุณ
ดีพัค โชปรา ได้ให้คำจำกัดความว่า “ความปล่อยวางนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเหลือเฟือ ความยึดมั่นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความขาดแคลน”
ฉันเคยรู้สึกขาดแคลนอยู่ในใจมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา คงเป็นเพราะฉันมีหน้าที่การงานอยู่กับการปลดหนี้ของบริษัท มันยาวนานจนฝังเข้าไปในใจของฉัน เมื่อมองเข้าไปในใจฉันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกขาดแคลน เมื่อฉันได้อ่านคำจำกัดความนี้ ฉันก็เกิดสว่างขึ้นมาในใจว่า อ๋อ นี่ฉันเองเป็นคนยึดเอาความขาดแคลนนี้ไว้ไม่ยอมปล่อยเองหรอกหรือ วินาทีนั้นเองที่ฉันปล่อยมันไป
ตอนนี้ทุกครั้งที่มองเข้าไปในใจ ฉันพบกับความรู้สึกเหลือเฟือวางอยู่ที่นั่น มันเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ .. ขอบคุณ ดีพัค โชปรา
น้องคนหนึ่งบอกว่า “ผมไม่มีเงิน แต่ผมมีความสุขใจ เพราะผมพอใจในตัวของผมเอง”
ขอบคุณสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว และพอใจในตัวเราเอง นั่นคือความสุขในมือเรา เมื่อเราพอใจ ใจมันก็พอ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น